Thomas Frank

Thomas Frank

‘ไม่สามารถต่อรองได้’ Thomas Frank และสตาร์ของท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ขอโทษแฟนๆ หลังเกมที่อาร์เซนอลถล่ม

Thomas Frank ความพ่ายแพ้ในศึกลอนดอนดาร์บี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ แต่การแพ้อาร์เซน่อลแบบหมดรูป 4-1 ที่เอมิเรตส์ สเตเดียมคืออีกหนึ่งบทที่เจ็บปวดที่สุดในประวัติศาสตร์การพบกันของทั้งสองทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสถิติชี้ชัดว่า สเปอร์สไม่สามารถเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองได้เลยใน 7 นัดหลังสุด และไม่เคยชนะในบ้านของอาร์เซน่อลในพรีเมียร์ลีกมาตั้งแต่ปี 2010

สิ่งที่หนักยิ่งกว่าคือ บทสัมภาษณ์หลังเกมที่ทั้งเฮดโค้ช โธมัส แฟรงค์ และผู้รักษาประตู กุยเยลโม่ วิคาริโอ ต้องออกมาขอโทษแฟนบอลด้วยน้ำเสียงที่ปนความผิดหวังและเจ็บปวด เพราะพวกเขารู้ดีว่าผลงานครั้งนี้ไม่ใช่แค่ “แพ้” แต่เป็นการแพ้แบบไม่มีสู้ ไม่มีสัญญาณของความดุดัน ไม่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น — สิ่งที่แฟนบอลสเปอร์สเรียกมันว่า “Non-negotiables” หรือเรื่องที่ ‘ยอมรับไม่ได้ในระดับฟุตบอลอาชีพ’

สภาพทีมก่อนเกม  บรรยากาศที่แฟนบอลคาดหวังแต่นักเตะไม่ตอบสนอง

ก่อนเกมเริ่มขึ้นมีสัญญาณเชิงบวกหลายอย่างที่ทำให้แฟนบอลสเปอร์สเชื่อว่าทีมอาจสร้างเซอร์ไพรส์ได้ การเสริมทัพในซัมเมอร์ทำได้ตรงจุด นักเตะมีสภาพร่างกายพร้อม และการเปลี่ยนแปลงแท็กติกของแฟรงค์ก็ดูเป็นความพยายามใหม่ที่ควรได้รับโอกาสพิสูจน์

เขาตัดสินใจปรับระบบแนวรับเป็น แบ็กห้า เพื่อเพิ่มความแน่นอนและรับมือความเร็วของแนวรุกอาร์เซน่อล โดยเฉพาะ เอเซ และทรอสซาร์ด แต่ระบบนี้กลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ภาพที่เห็นในสนามคือสเปอร์สถอยลึกเกินไป เปิดพื้นที่ในแดนกลาง และถูกอาร์เซน่อลบุกเข้าใส่แบบไม่ลืมหายใจในหลายจังหวะ

ความพยายามตั้งรับเพื่อรอโต้กลับไม่ทำงานเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟรงค์ยอมรับแบบไม่อ้อมค้อมหลังจบเกม

ประตูแรกคือตัวจุดชนวน  สเปอร์สเสียความเชื่อมั่นอย่างรวดเร็ว

เลอันโดร ทรอสซาร์ ยิงประตูเปิดหัวให้เจ้าบ้านตั้งแต่ช่วงต้นเกม และเป็นประตูที่ทำให้สมดุลเกมเปลี่ยนทันที สเปอร์สดูเหมือนถูกตัดขาไปครึ่งหนึ่งหลังจากเสียประตูนั้น ความมั่นใจที่มีตอนลงสนามหายไปในพริบตา และพวกเขาดูไม่พร้อมที่จะสู้ด้วยแผนที่เตรียมมา

จากนั้น อาร์เซน่อลยิ่งได้ใจมากขึ้นเมื่อเอเซเริ่มโชว์ฟอร์มมหาโหด กดแฮตทริกให้ทีมฝั่งแดงของลอนดอนเหนือ และทำลายแนวรับของสเปอร์สที่ดูช้า หนัก และไร้การสื่อสารอย่างน่าแปลกใจ

ประตูของริชาร์ลิซอน สวยแต่ไม่ช่วยอะไร

หนึ่งในไฮไลต์ของสเปอร์สที่ถูกพูดถึงคือประตูสุดสวยของริชาร์ลิซอน ที่ชิปบอลจากระยะเกือบ 40 หลาข้ามหัวดาบิด รายา อย่างเหนือชั้น ประตูนั้นทำให้แฟนบอลสเปอร์สนั่งไม่ติดและหวังว่ามันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการคัมแบ็ก

แต่ความจริงคือ — มันเป็นได้แค่ “ประตูปลอบใจ”
เกมไม่ได้เปลี่ยน สเปอร์สยังตกเป็นฝ่ายตามหลังทั้งเกม และแนวรับของพวกเขายังคงผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ขณะที่อาร์เซน่อลคุมจังหวะ รุกเป็นระลอก และปิดเกมด้วยความแน่นอนจนกระทั่งเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้น

โธมัส แฟรงค์ยอมรับแบบตรงไปตรงมา “มันคือการแสดงที่แย่ที่สุดของฤดูกาล”

หลังเกม แฟรงค์พูดกับ BBC ด้วยน้ำเสียงที่มองเห็นได้ชัดถึงความหดหู่และความผิดหวังในตัวเองเหมือนคนที่รู้ดีว่าทุกคำวิจารณ์กำลังมุ่งมาที่เขา:

“มันเป็นบ่ายที่ยากมาก เป็นฟอร์มที่แย่ เราต้องขอโทษแฟนบอลสำหรับสิ่งที่พวกเขาเห็นในสนาม”

แล้วเขากล่าวต่อแบบไม่แก้ตัว:

“เราไม่สามารถแข่งขันได้ ไม่ดุดันพอ แพ้ทุกจังหวะปะทะ และทำให้เกมหลุดไปตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก”

เสียงของเขาเต็มไปด้วยความรับผิดชอบ เขาพูดอย่างชัดเจนว่าเขาจะกลับไปศึกษาผลงานครั้งนี้อย่างละเอียด เพราะ “ไม่ว่าระบบไหนจะใช้ไม่ได้เลยถ้าทีมไม่สู้”

แฟรงค์ยังยอมรับว่าการเปลี่ยนระบบในช่วงพักครึ่งทำให้ทีมดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่เพียงพอเพราะ “เกมจบไปแล้วตั้งแต่ 3-0”

วิคาริโอ ผู้รักษาประตู “เราไม่ได้สู้… และนั่นยอมรับไม่ได้”

กุยเยลโม่ วิคาริโอ ผู้รักษาประตูที่มีผลงานดีเสมอในซีซั่นนี้ก็รู้สึกผิดไม่ต่างกัน เขาถูกจับภาพได้ขณะชูกำมือและโบกมือขอโทษแฟนบอลที่ตามเชียร์ถึงสนาม ก่อนเดินออกจากสนามด้วยใบหน้าที่หม่นหมอง

เขาให้สัมภาษณ์กับ Sky Sports ว่า:

“วันนี้เราไม่ได้สู้ นั่นคือสิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิงในระดับฟุตบอลระดับนี้”

วิคาริโอเน้นว่าปัญหาไม่ใช่แท็กติก แต่คือ “ความกระตือรือร้นในการเล่น” ทีมขาดความมุ่งมั่นตั้งแต่นาทีแรก เล่นช้าเกินไป และปล่อยให้อาร์เซน่อลควบคุมจังหวะเกมเหมือนเล่นอยู่ฝ่ายเดียว

เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“แฟนบอลสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้”

สถานการณ์คะแนน สเปอร์สหลุดท็อปโฟร์ อาร์เซน่อลนำโด่ง

ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ทำให้สเปอร์สหล่นลงไปอยู่ อันดับ 9 ของตารางพรีเมียร์ลีก ทั้งที่ก่อนเตะพวกเขายังมีโอกาสลุ้นกลับขึ้นไปลุ้นท็อปโฟร์ได้

ในทางกลับกัน อาร์เซน่อลขยับขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงห่างถึง 6 คะแนน
ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่แค่ชัยชนะธรรมดา แต่เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าทีมของอาร์เตต้ากำลังเข้าสู่ช่วงพีคของฤดูกาล และพร้อมลุยการลุ้นแชมป์อย่างเต็มรูปแบบ

อะไรคือ “Non-negotiables” ของสเปอร์สที่หายไป?

คำว่า “Non-negotiables” ซึ่งวิคาริโอพูดถึง หมายถึงสิ่งที่ไม่ควรขาดในทีมฟุตบอลระดับสูง ได้แก่:

  • ความทุ่มเท
  • ความมุ่งมั่น
  • การวิ่งไล่กดดัน
  • ความดุดันและการสู้ในจังหวะปะทะ
  • ความมีวินัยในเกมรับ

และในเกมนี้ สเปอร์สทำไม่ได้เลยแม้แต่ข้อเดียว

ความจริงที่น่ากลัวคือ ไม่ว่าจะใช้แผนไหน เล่นระบบใด ต่อให้มีนักเตะเก่งแค่ไหน หากทีม “ไม่สู้” ผลลัพธ์ก็ย่อมออกมาแบบนี้

บทเรียนที่สเปอร์สต้องเรียนรู้ ก่อนเจอ PSG

แม้จะเป็นวันที่เจ็บปวด แต่สเปอร์สไม่มีเวลาให้จมอยู่กับความผิดหวัง เพราะกลางสัปดาห์พวกเขามีโปรแกรมหนักระดับยุโรปกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง รออยู่ในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก
หากยังแสดงแท็กติกและสภาพจิตใจแบบเดิม PSG จะไม่ปล่อยโอกาส และผลลัพธ์อาจหนักยิ่งกว่านี้

หลังจากนั้น พวกเขายังต้องเจอกับฟูแล่มในพรีเมียร์ลีก ซึ่งแฟรงค์ย้ำว่าทีมต้อง “กลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

อาร์เซน่อล  คู่ปรับที่ยิ่งห่างชั้น

ในดาร์บี้ยุค 2010–2015 ทั้งสองทีมต่างผลัดกันแพ้ชนะอย่างสูสี แต่ในช่วง 6-7 ปีหลัง ช่องว่างเริ่มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในยุคของอาร์เตต้า อาร์เซน่อลมีความมั่นใจ ระบบชัดเจน นักเตะเล่นเข้าขา และมีเกมรุกที่อันตรายกว่าเดิม

ในทางตรงข้าม สเปอร์สมีการเปลี่ยนทีมบ่อยครั้ง ขาดความต่อเนื่อง และยังหาจุดลงตัวไม่ได้เลย

ความจริงจึงปรากฏในสนามอย่างชัดเจนในเกมนี้

 สรุป เกมที่สะท้อนมากกว่า “แพ้ดาร์บี้”

การแพ้อาร์เซน่อลไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสเปอร์ส แต่การแพ้แบบไร้สู้ ทำให้เกมนี้กลายเป็นหนึ่งในจุดต่ำสุดของฤดูกาล
แฟรงค์และวิคาริโอออกมารับผิดชอบต่อผลงาน แต่สิ่งสำคัญกว่าคำพูดคือ การตอบสนองในสนามนัดถัดไป

เพราะฟุตบอลไม่เคยรอใคร และสเปอร์สจำเป็นต้องหาคำตอบอย่างเร่งด่วนก่อนที่ฤดูกาลจะหลุดลอยไปมากกว่านี้ดาร์บี้แมตช์เดือดแบบนี้ยิ่งทำให้อารมณ์ลุ้นพุ่งสูง อยากเพิ่มอรรถรสฟุตบอลก็เดิมพันแบบปลอดภัยผ่าน ufabet เว็บตรง ระบบลื่นไหล ค่าน้ำดี เล่นง่ายทุกคู่ใหญ่
เชียร์มันส์ ลุ้นได้เงิน  บนเว็บที่แฟนบอลไทยไว้ใจมากที่สุด!