Vitor Roque กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในบราซิลและยุโรปในเวลานี้ หลังจากที่ฟอร์มของเขากลับมา “เกิดใหม่” อีกครั้งกับ Palmeiras

Vitor Roque กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในบราซิลและยุโรปในเวลานี้ หลังจากที่ฟอร์มของเขากลับมา “เกิดใหม่” อีกครั้งกับ Palmeiras จนทำให้หลายสโมสรใหญ่ในยุโรปหันกลับมาสนใจอีกครั้ง รวมถึงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเชลซี ที่กำลังประเมินความเป็นไปได้ในการคว้าดาวยิงวัย 20 ปีรายนี้เข้ามาเสริมแนวรุกในอนาคตอันใกล้

เพียงไม่กี่วันหลังจากมีรายงานเกี่ยวกับแผนการของแมนยูและเชลซีในการยื่นข้อเสนอเพื่อดึง Roque ไปร่วมทีม ก็มีอีกหนึ่งบุคคลสำคัญออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเจ้าตัว นั่นคือ Carlo Ancelotti ผู้จัดการทีมชาติบราซิลคนปัจจุบัน ซึ่งเคยเป็นกุนซือเรอัล มาดริด, เชลซี และ PSG มาก่อน โดย Ancelotti กล่าวยกย่อง Roque อย่างชัดเจน พร้อมระบุว่าเขาคือ “กองหน้าประเภทที่ผมให้คุณค่า”

ท่ามกลางเสียงชื่นชมมากมาย เหล่าสโมสรยุโรปก็เริ่มจับตาสถานการณ์ของ Roque อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหลังจาก Goal Brasil รายงานว่าเชลซีกำลัง “ติดตามฟอร์ม” ของเขาอย่างใกล้ชิดและอาจประเมินข้อเสนอในตลาดซื้อขายรอบถัดไป

ต่อจากนั้นไม่นาน สื่อสเปนอย่าง Sport ซึ่งมีความใกล้ชิดกับฝั่งบาร์เซโลนา ได้เผยว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็เป็นอีกหนึ่งทีมที่ “ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” เช่นกัน และมีความพร้อมที่จะยื่นข้อเสนอ 50 ล้านยูโร (ราว 44 ล้านปอนด์) เพื่อดึงกองหน้าอนาคตไกลรายนี้มาร่วมทีม

จากช่วงเวลาผิดหวังที่บาร์เซโลนา สู่การกลับมาแจ้งเกิดที่บ้านเกิด

Vitor Roque เคยถูกคาดหวังอย่างมากตอนย้ายจากบราซิลไปบาร์เซโลนา แต่กลับไม่สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นได้ในลีกสเปน เขายิงเพียง 2 ประตูจาก 16 นัดให้บาร์ซ่า ก่อนถูกส่งไปให้เรอัล เบติสยืมตัวและทำผลงานได้ 7 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ใน 33 นัดรวมทุกรายการ ซึ่งถือว่ายังไม่ใช่ฟอร์มระดับที่แฟนบอลคาดหวัง

แต่เมื่อย้ายกลับบราซิลในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ฟอร์มของเขาระเบิดออกทันที Roque ยิงไป 20 ประตู พร้อมทำ 5 แอสซิสต์ จาก 52 นัดให้กับ Palmeiras ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำให้เขากลับมาอยู่ในเรดาร์ของหลายสโมสรในยุโรปอีกครั้ง

การกลับมาเล่นในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น และกล้าทำสิ่งที่เป็นสไตล์ของตัวเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาสามารถ “เกิดใหม่” ได้สำเร็จ

Ancelotti ชื่นชม Roque: “กองหน้าประเภทที่ผมให้คุณค่า”

Carlo Ancelotti ผู้จัดการทีมชาติบราซิล ให้สัมภาษณ์กับ AS เกี่ยวกับ Roque ว่า:

“เขาทำได้ดีมาก ยิงประตูเยอะใน Palmeiras และฟอร์มดีกว่าตอนอยู่บาร์เซโลนาและเบติสเยอะมาก
เขาคือกองหน้าประเภทที่ผมให้คุณค่า คนที่มีความดุดันและสามารถพัฒนาต่อได้อีกมาก”

Ancelotti ระบุว่าในรายชื่อ 26 คนที่จะไปฟุตบอลโลก 2026 มีนักเตะบางรายที่แทบจองตำแหน่งแน่นอนแล้ว แต่ Roque คือหนึ่งในผู้เล่นที่สามารถ “ต่อสู้เพื่อมีชื่อติดทีม” ได้ และเขาจะจับตาดูฟอร์มนักเตะอย่างใกล้ชิดตลอดปีหน้า

การได้รับการยกย่องจากกุนซือระดับตำนานเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะ Ancelotti เป็นคนที่มองเห็นคุณค่าของผู้เล่นหลายคนตั้งแต่อายุยังน้อยก่อนจะผลักดันให้กลายเป็นสตาร์ระดับโลกมาแล้วหลายคน

ความเป็นไปได้ที่ Roque จะย้ายไปแมนยูในเดือนมกราคม

แม้แมนยูจะสนใจ Roque อย่างมาก แต่การย้ายทีมในเดือนมกราคมอาจเกิดขึ้นได้ยากด้วยเหตุผลหลายประการ ได้แก่:

1) Roque ต้องการรักษาตำแหน่งในทีมชาติบราซิลสำหรับฟุตบอลโลก 2026

การย้ายทีมกลางฤดูกาลไปลีกใหม่อาจเสี่ยงต่อฟอร์มของเขา และอาจทำให้โอกาสติดทีมชาติเป็นเรื่องยากขึ้น นักเตะดาวรุ่งหลายคนเคยพลาดโอกาสแบบนี้เพราะตัดสินใจผิดเวลา ทำให้ Roque อาจเลือกอยู่กับ Palmeiras ไปจนจบฤดูกาล

2) ทีมงานของแมนยูระบุว่าไม่มีแผนเสริมกองหน้าในตลาดหน้าหนาว

แม้ Benjamin Sesko จะบาดเจ็บในเกมกับสเปอร์ส แต่ BBC Sport รายงานว่าความรุนแรงของอาการบาดเจ็บไม่หนักอย่างที่กังวล และ Ruben Amorim กุนซือแมนยู ก็ต้องการให้ Joshua Zirkzee ได้พิสูจน์ตัวเองในฐานะกองหน้าเบอร์ 9 คนใหม่ของทีม

Dean Jones นักข่าวสายย้ายทีมชื่อดังให้ข้อมูลว่า

“ยูไนเต็ดจะไม่เร่งคว้ากองหน้าใหม่ในตอนนี้ และยังไม่มีชื่อผู้เล่นคนไหนที่พร้อมย้ายในเดือนมกราคมแบบเป็นไปได้จริง”

3) ตลาดมกราคมไม่ใช่ช่วงเวลาที่ Palmeiras ต้องการปล่อยตัว

สโมสรบราซิลมักเจรจาขายผู้เล่นในตลาดซัมเมอร์มากกว่า เพราะมีเวลาหาคนแทน และได้นักเตะเล่นครบฤดูกาล

ทั้งหมดนี้ทำให้ทันทีที่ข่าวเรื่องการย้ายทีมของ Roque ผุดขึ้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างเห็นตรงกันว่าโอกาสที่เขาจะย้ายมาแมนยูหรือเชลซีในตลาดหน้าหนาวคือ “น้อยมาก”

แล้วเชลซีล่ะ? มีความเป็นไปได้แค่ไหน?

เชลซีมีตัวเลือกในแดนหน้าหลายคนแล้ว ได้แก่:

• Joao Pedro
  
• Liam Delap
  
• Marc Guiu
  

Enzo Maresca ผู้จัดการทีมเชลซีจึงไม่จำเป็นต้องเซ็นกองหน้าเพิ่มด่วน ๆ ในปีที่เป็นปีฟุตบอลโลก เพราะต้องพัฒนาขุมกำลังปัจจุบันให้ลงตัวก่อน Roque เองก็คงไม่เลือกย้ายไปนั่งสำรองในช่วงสำคัญของชีวิตค้าแข้ง

ดังนั้นแม้จะมีข่าวจับโยง แต่ดีลย้ายไปเชลซีก็ยังถือว่ามีความเป็นไปได้ต่ำในตอนนี้

ข่าวย้ายทีมอื่น ๆ ของแมนยู

นอกจาก Roque แล้ว ยังมีข่าวอื่นที่เกี่ยวกับแมนยู ได้แก่:

• Casemiro: Fabrizio Romano เปิดเผยว่า Amorim ต้องการเก็บเขาไว้ถึงจบฤดูกาล
  
• Kobbie Mainoo: มีข่าวลือว่าจะถูกปล่อยยืมไปลีดส์ แต่แหล่งข่าวระบุว่า “ไม่เป็นความจริง”
  
• ดาวรุ่งเยอรมันปริศนา: มีรายงานว่าแมนยูกำลังเป็น 1 ใน 11 สโมสรที่ล่าตัว “แข้งเยอรมันพรสวรรค์หายาก”
  

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าแมนยูอยู่ในช่วงการตัดสินใจมากมายเรื่องการเสริมทัพ แต่ดีกรีของ Roque ทำให้แฟนบอลยังคงหวังว่าเขาอาจเป็น “กองหน้าคนสำคัญของอนาคต” ได้
เชียร์ทีมโปรดและดูตลาดซื้อขายไปพร้อมกันได้ง่าย ๆ ผ่าน ufabet168 แทงบอล ที่ตอบโจทย์คอบอลยุคใหม่ทุกมิติ

ลามีน ยามาล ถอนตัวจากทีมชาติสเปน หลังเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บขาหนีบ — สหพันธ์ฟุตบอลสเปนเผยไม่ทราบล่วงหน้า

วันที่ 12 พฤศจิกายน 2025 – สหพันธ์ฟุตบอลสเปน (RFEF) ยืนยันว่า ลามีน ยามาล (Lamine Yamal) ปีกดาวรุ่งวัย 18 ปีของบาร์เซโลนา ถูกปล่อยตัวออกจากทีมชาติสเปนชุดทำศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก หลังเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บขาหนีบโดยไม่ได้แจ้งให้ทีมแพทย์ของทีมชาติทราบล่วงหน้า เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้กับสหพันธ์ฯ และทำให้เกิดกระแสวิจารณ์ในวงกว้าง

ดาวรุ่งผู้แบกรับความหวังของชาติ

ลามีน ยามาล ถือเป็นหนึ่งในนักเตะดาวรุ่งที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในยุโรปตลอดสองปีที่ผ่านมา ด้วยอายุเพียง 18 ปี เขากลายเป็นตัวหลักของบาร์เซโลนาและทีมชาติสเปนในเวลาอันรวดเร็ว สไตล์การเล่นของเขาโดดเด่นทั้งในด้านความเร็ว การลากเลื้อย และการสร้างโอกาสจากริมเส้น จนถูกยกให้เป็น “อัญมณีแห่งคัมป์นู” และเป็นความหวังของทีมชาติสเปนยุคใหม่

อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บที่ขาหนีบได้รบกวนเขาตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ยามาลพลาดลงสนามในลาลีกาไปแล้วถึง 5 นัด และล่าสุด เขาจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยเทคนิค Radiofrequency operation ซึ่งเป็นการใช้คลื่นความถี่วิทยุช่วยกระตุ้นและบรรเทาอาการบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อ

ผ่าตัดโดยไม่แจ้งทีมชาติ จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง

สหพันธ์ฟุตบอลสเปนออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า การรักษาครั้งนี้ดำเนินการโดยทีมแพทย์ของบาร์เซโลนา โดย ไม่ได้มีการแจ้งล่วงหน้าให้ทีมแพทย์ของทีมชาติทราบ ซึ่งทาง RFEF ระบุว่าได้รับรายงานเกี่ยวกับการผ่าตัดในเวลา 22.40 น. ของคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา พร้อมรายละเอียดว่า นักเตะต้องพักรักษาตัวอย่างน้อย 7–10 วัน

ข้อความในแถลงการณ์ระบุว่า

“กระบวนการนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการประสานงานกับทีมแพทย์ของทีมชาติ ทีมแพทย์ทราบเรื่องจากรายงานที่ได้รับในภายหลัง ซึ่งระบุคำแนะนำให้ผู้เล่นพักรักษาตัวเป็นเวลา 7 ถึง 10 วัน เพื่อให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวเต็มที่”

สหพันธ์ฟุตบอลสเปนจึงตัดสินใจ ปล่อยตัวลามีน ยามาลออกจากแคมป์ทีมชาติทันที เพื่อให้เขาได้พักรักษาตัวอย่างเต็มที่ และป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว

RFEF กล่าวเพิ่มเติมว่า

“เพื่อให้ความสำคัญสูงสุดกับสุขภาพ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้เล่น ทางสหพันธ์จึงตัดสินใจให้ลามีน ยามาลกลับไปพักฟื้นกับสโมสรต้นสังกัด”

หลุยส์ เด ลา ฟวนเต: “ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน”

หลุยส์ เด ลา ฟวนเต (Luis de la Fuente) ผู้จัดการทีมชาติสเปน แสดงความประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุ Radio Nacional de España (RNE) ว่า เขา “ไม่เคยพบเรื่องแบบนี้มาก่อน”

เด ลา ฟวนเตกล่าวว่า

“เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นนอกเหนือจากการควบคุมของสหพันธ์ มันก็เป็นอย่างนั้น เราต้องยอมรับ แต่ผมมองว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน”

เขาเสริมว่า

“แน่นอนว่าผมรู้สึกตกใจ เหมือนกับทุกคน ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครได้ยินข่าว ไม่มีใครได้รับแจ้งรายละเอียดมาก่อน อยู่ ๆ ก็มีรายงานมาพร้อมข้อมูลด้านสุขภาพของนักเตะ มันเป็นสถานการณ์ที่น่าประหลาดใจ โดยเฉพาะเมื่อเราพูดถึงนักเตะระดับชาติที่มีตารางการแข่งขันสำคัญรออยู่”

ยามาล: ดาวรุ่งวัย 18 ที่แบกรับภาระมหาศาล

ยามาลติดทีมชาติสเปนชุดใหญ่ไปแล้ว 23 นัด ยิงได้ 6 ประตู และทำอีก 6 แอสซิสต์ในฤดูกาลนี้กับบาร์เซโลนา จากการลงเล่นเพียง 11 นัดในทุกรายการ ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพมหาศาลของเขา

ในศึก ยูโร 2024 ที่ผ่านมา เขาเคยยิงประตูสุดสวยในเกมที่สเปนพบจอร์เจียในรอบ 16 ทีมสุดท้าย แม้ประตูนั้นจะถูก VAR ปฏิเสธเนื่องจากล้ำหน้า แต่ภาพการเฉลิมฉลองของเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของทีมชาติสเปนยุคใหม่ที่เปี่ยมด้วยพลังและความมั่นใจ

ด้วยอายุเพียง 18 ปี ยามาลไม่เพียงแต่เป็นอนาคตของบาร์เซโลนาเท่านั้น แต่ยังเป็นเสาหลักของทีมชาติสเปนในอีกหลายปีข้างหน้า การรักษาและการบริหารภาระร่างกายของเขาจึงเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด

สเปนยังคงรั้งจ่าฝูงกลุ่ม E – ใกล้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก

ในขณะที่ทีมขาดยามาลไป สเปนยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โดยเก็บได้ 12 คะแนนเต็มจาก 4 นัด ยิงไป 15 ประตูโดยไม่เสียเลยแม้แต่ลูกเดียว พวกเขานำเป็นจ่าฝูงกลุ่ม E อย่างมั่นคง

โปรแกรมต่อไป สเปนจะบุกเยือนจอร์เจียที่เมืองทบิลิซีในวันเสาร์ ก่อนกลับมาเปิดบ้านต้อนรับตุรกีในวันอังคารที่เมืองเซบียา หากพวกเขาชนะจอร์เจีย และตุรกีไม่สามารถเอาชนะบัลแกเรียได้ สเปนจะการันตีการผ่านเข้ารอบสุดท้ายทันที

ทีมชาติสเปนในยุคของเด ลา ฟวนเตได้รับการยกย่องว่าเป็นทีมที่มีความสมดุลที่สุดในรอบหลายปี ด้วยการผสมผสานระหว่างนักเตะประสบการณ์สูงอย่าง ดานี่ การ์บาฆาล และโรดรี เข้ากับดาวรุ่งอย่าง ยามาล และเปดรี ซึ่งช่วยให้สเปนเล่นฟุตบอลเกมรุกที่สวยงามและมีประสิทธิภาพ

ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสโมสรและทีมชาติ

เหตุการณ์ของยามาลได้จุดกระแสถกเถียงเรื่อง “ความสัมพันธ์ระหว่างสโมสรและทีมชาติ” อีกครั้ง โดยเฉพาะในกรณีที่นักเตะดาวรุ่งต้องรับภาระหนักทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ

สื่อสเปนบางสำนักมองว่า บาร์เซโลนาอาจกังวลเกี่ยวกับความฟิตของยามาล เนื่องจากเขาเป็นผู้เล่นที่ถูกใช้งานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อายุยังน้อย สโมสรจึงตัดสินใจเข้ารับการรักษาทันทีโดยไม่รอให้ทีมชาติอนุมัติ เพราะต้องการให้เขากลับมาสมบูรณ์ก่อนโปรแกรมใหญ่ของลาลีกา

ในทางกลับกัน ฝั่งทีมชาติสเปนรู้สึกว่า การดำเนินการเช่นนี้เป็นการละเมิดขั้นตอนทางการแพทย์ระหว่างประเทศ และอาจสร้างความไม่ไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่ายในอนาคต

ยามาลกับอนาคตในบาร์เซโลนา

ในระดับสโมสร ยามาลถือเป็นหัวใจของแผนระยะยาวของบาร์เซโลนา ภายใต้การคุมทีมของฮานซี่ ฟลิค โค้ชชาวเยอรมันที่ให้โอกาสดาวรุ่งอย่างต่อเนื่อง บาร์เซโลนาเชื่อว่าการมีผู้เล่นอย่างยามาล, เปดรี, กาบี และบัลเด้ จะช่วยให้ทีมกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในยุโรปได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาอาการบาดเจ็บของดาวรุ่งวัย 18 ปีรายนี้กลายเป็นสัญญาณเตือนว่า สโมสรอาจต้องบริหารเวลาการลงสนามของเขาอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กลายเป็น “บูมเร็วแต่หมดไว” แบบที่เกิดขึ้นกับดาวรุ่งหลายคนในอดีตของบาร์ซา เช่น โบยาน เคอร์กิช หรืออันซู ฟาติ

การให้ความสำคัญกับสุขภาพนักเตะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

แม้เหตุการณ์นี้จะสร้างความไม่พอใจให้กับสหพันธ์ฟุตบอลสเปน แต่หลายฝ่ายในวงการฟุตบอลเห็นตรงกันว่า การให้ลามีน ยามาลพักฟื้นเต็มที่คือการตัดสินใจที่ถูกต้อง นักเตะอายุน้อยที่มีศักยภาพสูงเช่นเขาจำเป็นต้องได้รับการดูแลระยะยาวมากกว่าการเร่งกลับมาลงสนามเร็วเกินไป

นักวิเคราะห์จาก Marca และ AS ต่างมองว่า เหตุการณ์นี้อาจช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ในการสื่อสารระหว่างสโมสรกับทีมชาติ เพื่อป้องกันความขัดแย้งและลดความเสี่ยงของนักเตะดาวรุ่งในอนาคต

สรุป

เหตุการณ์ ลามีน ยามาล ถอนตัวจากทีมชาติสเปน กลายเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญของวงการฟุตบอลยุโรป สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารนักเตะรุ่นใหม่ที่ต้องลงเล่นต่อเนื่องทั้งในสโมสรและทีมชาติ

แม้จะมีความไม่พอใจระหว่างสหพันธ์ฟุตบอลสเปนและบาร์เซโลนา แต่ทุกฝ่ายต่างเห็นตรงกันในสิ่งหนึ่ง — สุขภาพของนักเตะคือสิ่งสำคัญที่สุด

สำหรับยามาล เขายังคงเป็นความหวังของสเปนและบาร์เซโลนาในระยะยาว การพักฟื้นครั้งนี้อาจเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะช่วยให้เขากลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม พร้อมพาทีมชาติและสโมสรเดินหน้าสู่ความสำเร็จในอนาคต

บทส่งท้ายสำหรับแฟนบอล

หากคุณต้องการติดตามข่าวฟุตบอลแบบเรียลไทม์ วิเคราะห์เจาะลึกทุกมุมสนาม ทั้งลาลีกา พรีเมียร์ลีก และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เข้าร่วมได้ที่ ufabet แทงบอล เว็บเดิมพันและข่าวสารฟุตบอลครบวงจร ที่จะพาคุณเข้าสู่โลกของฟุตบอลอย่างเต็มรูปแบบทุกวัน

“ผมไม่เห็นด้วยว่าเขาเป็นนักเตะที่ดีที่สุด แต่ผมเคารพความเห็นของเขา” โรนัลโด้ นาซาริโอ กล่าวถึง คริสเตียโน่ โรนัลโด้

ตำนานกองหน้าชาวบราซิล โรนัลโด้ นาซาริโอ ผู้พาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2002 กล่าวถึง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ว่า เขาคือหนึ่งในนักเตะ 10 อันดับที่เก่งที่สุดตลอดกาล แต่ไม่ใช่นักเตะที่ “เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์” อย่างที่เจ้าตัวเคยกล่าวไว้ พร้อมย้ำว่าตนยังคงให้ความเคารพต่อความคิดเห็นของคริสเตียโน่เสมอ

โรนัลโด้ (R9) กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ ESPN ว่า แม้เขาจะยอมรับผลงานอันยอดเยี่ยมของโรนัลโด้ชาวโปรตุเกส แต่ในมุมมองส่วนตัวของเขา ยังมีนักเตะคนอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่าในภาพรวมของประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก

“ผมไม่ชอบพูดถึงเรื่องพวกนี้มากนัก ผมคิดว่าหลายคนมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ผมเองชอบให้คนอื่นพูดถึงผลงานของผมมากกว่า ว่าผมเคยทำอะไรไว้ เคยเป็นอย่างไร มากกว่าที่ผมจะพูดถึงตัวเอง”

“แต่สำหรับคริสเตียโน่ เขามีเส้นทางอาชีพที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เขาทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์ไว้มากมาย เขายิงประตูได้ทุกรูปแบบ และยังสามารถเปลี่ยนตำแหน่งจากปีกซ้ายมาเป็นกองหน้าตัวเป้าได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แน่นอนว่าเขาอยู่ในกลุ่มนักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล แต่ผมไม่เห็นด้วยว่าเขาเป็น ‘คนที่ดีที่สุดตลอดกาล’”

“อย่างไรก็ตาม ผมเคารพความคิดเห็นของเขา เขาคือนักเตะระดับสุดยอดแน่นอน ถ้าจะให้ผมจัดอันดับ เขาอยู่ในท็อปเทนของโลกแน่ ๆ”

“เปเล่คือเบอร์หนึ่ง เมสซี่กับมาราโดน่าอยู่ระดับเดียวกัน”

ในบทสัมภาษณ์เดียวกัน โรนัลโด้ยังได้เปิดเผยรายชื่อนักเตะที่เขาคิดว่าเป็น “สามยอดแข้งตลอดกาล” โดยยกให้ เปเล่ เป็นอันดับหนึ่ง ส่วน ลิโอเนล เมสซี่ และ ดิเอโก มาราโดน่า อยู่ในระดับเดียวกัน

“ถ้าพูดถึงทั้งโลก มันซับซ้อนมากนะ แต่สำหรับผม เปเล่คืออันดับหนึ่งแน่นอน ส่วนเมสซี่กับมาราโดน่าอยู่ในระดับเดียวกัน หลังจากนั้นก็มี ซีโก้, โรมารีโอ, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, มาร์โก ฟาน บาสเท่น และอีกหลายคน เช่น ซีดาน, ฟิโก้, ริวัลโด้, โรนัลดินโญ่ พวกเขาทั้งหมดคือสุดยอดนักเตะของยุค”

“แต่ทุกครั้งที่มีคนถามให้ผมจัดอันดับ ผมมักจะลืมชื่อใครบางคนเสมอ และพอรู้ตัวก็มักจะเสียใจ เพราะมีนักเตะเก่ง ๆ มากมายที่ควรจะอยู่ในลิสต์นั้น”

โรนัลโด้ นาซาริโอ ยังเสริมด้วยรอยยิ้มว่า เขาไม่สามารถทำ “รายชื่อนักเตะที่ดีที่สุดในโลก” ได้เพียงชุดเดียว เพราะทุกครั้งที่มีการถาม เขาจะได้คำตอบที่ต่างออกไปเสมอ

เส้นทางอันยอดเยี่ยมของคริสเตียโน่ โรนัลโด้

ในปัจจุบัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ วัย 40 ปี ยังคงโลดแล่นในเส้นทางอาชีพอย่างน่าทึ่ง เขาทำไปแล้ว 143 ประตูจากการลงเล่น 225 นัดให้กับทีมชาติโปรตุเกส ถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลระดับชาติ

นอกจากนั้น เขายังคว้าแชมป์มากมายกับสโมสรระดับโลก ทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด, ยูเวนตุส และปัจจุบันกับ อัล-นาสเซอร์ ในซาอุดิอาระเบีย โรนัลโด้ยังคงรักษาความฟิตและความมุ่งมั่นในระดับสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่โรนัลโด้ นาซาริโอ เองยอมรับและให้ความเคารพอย่างแท้จริง

สัปดาห์นี้ คริสเตียโน่เตรียมนำทัพโปรตุเกสลงสนามพบกับไอร์แลนด์และอาร์เมเนีย ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปี 2026 โดยเขายังคงได้รับความไว้วางใจให้เป็นกัปตันทีมและเป็นผู้นำในแนวรุก

สองตำนาน สองยุค สองสไตล์

แม้จะมีชื่อเหมือนกัน แต่ “โรนัลโด้” ทั้งสองคนต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชัดเจน โรนัลโด้ นาซาริโอ หรือ “R9” เป็นกองหน้าที่แฟนบอลยุค 90s จดจำได้ดีจากความเร็ว ความคล่องตัว และการจบสกอร์ที่เฉียบคม ส่วนคริสเตียโน่ โรนัลโด้ แห่งยุค 2000–2020 คือสัญลักษณ์แห่งความทุ่มเท ระเบียบวินัย และความต่อเนื่องในการทำผลงานระดับสูง

แม้โรนัลโด้ชาวบราซิลจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “คริสเตียโน่คือผู้เล่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์” แต่เขาก็ยังยอมรับว่าคริสเตียโน่คือหนึ่งในนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เกมฟุตบอลเคยมีมา

ตำนานที่ยังคงส่งต่อแรงบันดาลใจ

คำพูดของโรนัลโด้ นาซาริโอ แม้จะเรียบง่าย แต่สะท้อนมุมมองของนักฟุตบอลระดับโลกที่ผ่านทั้งความสำเร็จและอุปสรรค เขาเคารพในความสามารถของนักเตะทุกคนที่ทำงานหนักเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ของตัวเอง และยืนยันว่า “ไม่มีใครต้องเป็นที่สุดเสมอไป” เพราะฟุตบอลคือศิลปะของความแตกต่าง

แฟนบอลทั่วโลกต่างชื่นชมคำตอบของ R9 เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความถ่อมตนและความเคารพต่อทุกคนในวงการ แม้ในยุคที่การเปรียบเทียบระหว่างนักเตะกลายเป็นประเด็นถกเถียงอยู่เสมอ

บทสรุป

โรนัลโด้ นาซาริโอกล่าวอย่างชัดเจนว่า เขายกให้ เปเล่ เป็นอันดับหนึ่งของโลก ตามมาด้วย เมสซี่ และ มาราโดน่า ซึ่งเป็นสามผู้เล่นที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอล ขณะเดียวกัน เขายังยกย่อง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ว่าอยู่ในระดับ “ท็อปเทน” ของโลก พร้อมแสดงความเคารพต่อความมุ่งมั่นและความสำเร็จที่ยากจะมีใครเทียบได้

ทั้งสองโรนัลโด้ ต่างเป็นตำนานในแบบของตัวเอง — คนหนึ่งคือดาวยิงผู้พาบราซิลคว้าแชมป์โลก ส่วนอีกคนคือผู้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยตัวเลขการยิงประตูที่ไม่มีใครล้มได้ง่าย ๆ และไม่ว่าฝ่ายใดจะถูกมองว่า “เก่งที่สุด” ก็ตาม ทั้งคู่ต่างมีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั้งโลก

บทส่งท้ายสำหรับแฟนฟุตบอลทั่วโลก

ฟุตบอลไม่เคยมีคำว่าที่สุด มีเพียงความยิ่งใหญ่ที่ต่างกันในแต่ละยุค หากคุณต้องการติดตามข่าวบอลระดับโลก วิเคราะห์เกมสำคัญ และร่วมสนุกกับการแข่งขันที่คุณรัก
สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ ufabet แทงบอล ศูนย์รวมข่าวฟุตบอล บทวิเคราะห์ และการเดิมพันแบบเรียลไทม์จากลีกชั้นนำทั่วโลก

“ผมอยากกลับไปที่นั่นจริง ๆ” คำพูดจากใจของ ลิโอเนล เมสซี่ ถึงการหวนคืนบาร์เซโลนา

ความผูกพันระหว่าง ลิโอเนล เมสซี่ กับ บาร์เซโลนา ดูเหมือนจะไม่มีวันจางหาย แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายปีนับตั้งแต่เขาต้องอำลาสโมสรอันเป็นที่รักไปด้วยน้ำตาในปี 2021 ล่าสุดซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนไตน์ออกมาเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาว่า เขา “อยากกลับไปที่บาร์เซโลนาอีกครั้ง” ทั้งในฐานะบ้านที่สร้างเขาให้กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และในฐานะเมืองที่ครอบครัวของเขายังผูกพันอย่างลึกซึ้ง

การกลับมาเยือนคัมป์นูอย่างลับ ๆ

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โลกโซเชียลต่างแตกตื่นเมื่อมีภาพของเมสซี่ที่เดินทางกลับไปยังสนาม คัมป์นู (Camp Nou) ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงใหญ่ พร้อมโพสต์ข้อความในอินสตาแกรมส่วนตัวถึงความคิดถึงที่มีต่อสถานที่แห่งนี้

“เมื่อคืนนี้ผมได้กลับไปยังสถานที่ที่ผมคิดถึงสุดหัวใจ สถานที่ที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต และพวกคุณทุกคนคือคนที่ทำให้ผมรู้สึกเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ผมหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้กลับไปที่นั่นอีกครั้ง ไม่ใช่แค่เพื่อกล่าวคำอำลาในฐานะนักเตะ เพราะผมไม่เคยได้ทำอย่างนั้นจริง ๆ…”

โพสต์ดังกล่าวของเมสซี่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกต่างพากันคาดเดาทันทีว่า “นี่คือสัญญาณของการกลับมาสู่บาร์เซโลนา” หรือไม่

“ผมอยากกลับไปที่นั่นจริง ๆ”

ในบทสัมภาษณ์ล่าสุดกับสื่อสเปน SPORT ซึ่งเผยแพร่ผ่าน Goal.com เมสซี่เปิดใจอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาและครอบครัวยังคงคิดถึงชีวิตในเมืองบาร์เซโลนาอยู่เสมอ

“ผมอยากกลับไปที่นั่นจริง ๆ เราคิดถึงบาร์เซโลนามาก ทั้งผม ภรรยา และลูก ๆ เราคุยกันตลอดเกี่ยวกับบาร์เซโลนาและความคิดที่จะย้ายกลับไปอยู่ที่นั่น เรามีบ้านอยู่ที่นั่น ทุกอย่างของเรายังอยู่ที่นั่น และนั่นคือสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ”

“ผมตั้งตารอวันที่สนามคัมป์นูจะเปิดใช้อีกครั้ง เพราะตั้งแต่ผมย้ายไปปารีส ผมก็ยังไม่เคยได้กลับไปเลย หลังจากนั้นสโมสรก็ย้ายไปเล่นที่มอนต์จูอิก (Montjuïc) ผมอยากเห็นมันด้วยตาของตัวเองเมื่อทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์”

คำพูดของเมสซี่สะท้อนความรู้สึกคิดถึงบ้านอย่างชัดเจน ไม่เพียงในฐานะนักเตะ แต่ยังในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่เติบโตและใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งในเมืองที่เรียกว่า “บ้าน”

จากน้ำตาแห่งการอำลา สู่ความคิดถึงที่ไม่เคยจาง

ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2020–21 เมสซี่ต้องอำลาบาร์เซโลนาด้วยน้ำตา เนื่องจากปัญหาทางการเงินของสโมสรที่ทำให้ไม่สามารถต่อสัญญาได้ตามกฎการเงินของลาลีกา เหตุการณ์นั้นกลายเป็นหนึ่งในภาพจำอันเจ็บปวดที่สุดของวงการฟุตบอลโลก

หลังจากนั้น เขาย้ายไปอยู่กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (PSG) เป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะย้ายมาร่วมทีม อินเตอร์ ไมอามี (Inter Miami) ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2023 ซึ่งเขากำลังค้าแข้งอยู่ในปัจจุบัน

“ตอนที่ผมต้องออกจากที่นั่น มันเป็นความรู้สึกแปลกมาก เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป ผมเล่นช่วงสุดท้ายโดยไม่มีแฟนบอลเพราะโควิด หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมาตลอด มันไม่ใช่วิธีที่ผมอยากอำลาเลย”

“ผมเคยจินตนาการไว้ว่าจะใช้ชีวิตนักเตะทั้งหมดของผมในยุโรป ที่บาร์เซโลนา และหลังจากนั้นค่อยไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อเมริกา เหมือนที่ผมทำตอนนี้ แต่การอำลามันเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดและเต็มไปด้วยความรู้สึกค้างคา”

เมสซี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าว่า แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี แต่ความทรงจำในช่วงสุดท้ายกับบาร์ซ่าก็ยังเป็นสิ่งที่เขา “คิดถึงเสมอ”

ความรักจากแฟนบอลที่ยังคงไม่เสื่อมคลาย

แม้เมสซี่จะจากสโมสรไปแล้ว แต่สำหรับแฟนบอลบาร์เซโลนา เขายังคงเป็น “เจ้าชายแห่งคาตาลัน” เสมอ แฟนบอลทั่วโลกต่างมองว่าการกลับมาของเขาในฐานะ “บุคคลในตำนาน” คือสิ่งที่เหมาะสมและสมควรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในบทบาทโค้ช ทูตของสโมสร หรือผู้บริหารในอนาคต

เมสซี่เองก็รับรู้ถึงความรักนี้อย่างลึกซึ้ง

“ผมเชื่อว่าความรักของแฟน ๆ จะยังคงอยู่เสมอ เพราะเราผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย ทั้งช่วงเวลาที่ดีและช่วงเวลาที่ยากลำบาก”

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บาร์เซโลนาเองก็ได้เริ่มโครงการ Camp Nou Renovation Project ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2026 และมีข่าวลือว่าทางสโมสรอาจจัดพิธีเปิดสนามใหม่โดยเชิญเมสซี่กลับมาร่วมงานในฐานะ “แขกพิเศษ” หรือแม้แต่ “เจ้าของเกียรติยศของสนาม”

เส้นทางแห่งตำนานที่ไม่มีวันสิ้นสุด

ลิโอเนล เมสซี่ คือนักเตะที่ฝากผลงานระดับตำนานไว้กับบาร์เซโลนา — 778 นัด, 672 ประตู, 35 ถ้วยรางวัล รวมถึง 4 แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และ 10 แชมป์ลาลีกา เขาคือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์สโมสร และเป็นจิตวิญญาณที่ยากจะถูกแทนที่

การจากลาในปี 2021 อาจเป็น “จุดจบของยุคทอง” แต่ความรักระหว่างเมสซี่กับบาร์เซโลนาไม่เคยสิ้นสุดลง เขายังคงพูดถึงเมืองนี้ในทุกบทสัมภาษณ์ และแฟนบอลก็ยังคงเฝ้ารอวันที่เขาจะกลับมาอีกครั้ง

“ผมคิดถึงทุกอย่างที่นั่น — สนาม ผู้คน และความรู้สึกเวลาได้ลงเล่นในคัมป์นู ทุกอย่างในชีวิตของผมเริ่มต้นที่นั่น”

ความเป็นไปได้ในการกลับมาในอนาคต

แม้ปัจจุบันเมสซี่ยังคงเล่นให้กับอินเตอร์ ไมอามีในเมเจอร์ลีก สหรัฐฯ แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า หลังจากแขวนสตั๊ด เขาอาจกลับมามีบทบาทในบาร์เซโลนาในฐานะ “ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค” หรือ “ที่ปรึกษาเยาวชน” เพื่อส่งต่อแนวคิดฟุตบอลแบบบาร์เซโลนาให้กับเด็กรุ่นใหม่

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าทางสโมสรเตรียมสร้าง “Lionel Messi Museum” ภายในสนามคัมป์นูแห่งใหม่ เพื่อเป็นเกียรติแก่ชายผู้สร้างยุคทองของทีม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเมสซี่และบาร์ซ่ายังคงแน่นแฟ้น

สรุป

คำพูดของเมสซี่ “ผมอยากกลับไปที่นั่นจริง ๆ” ไม่ได้เป็นเพียงคำบอกเล่าความคิดถึงเท่านั้น แต่มันคือความรู้สึกจากใจของคนที่ใช้ชีวิตเกือบทั้งชีวิตกับสโมสรแห่งหนึ่ง เติบโตจากเด็กน้อยในอาร์เจนตินาสู่ตำนานของโลกฟุตบอล และแม้เส้นทางอาชีพจะพาเขาไกลออกไป แต่จิตวิญญาณของเขายังอยู่ที่คัมป์นูเสมอ

แฟนบอลทั่วโลกต่างเฝ้ารอวันที่ชายผู้ยิ่งใหญ่คนนี้จะได้กลับไปยังบ้านที่แท้จริงของเขาอีกครั้ง — ไม่ว่าจะในฐานะนักเตะ โค้ช หรือสัญลักษณ์แห่งความทรงจำของยุคทองแห่งบาร์เซโลนา

 บทส่งท้ายสำหรับแฟนบอล

ความผูกพันระหว่างเมสซี่และบาร์เซโลนา คือเรื่องราวที่สวยงามและอบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอล หากคุณต้องการติดตามข่าวสารล่าสุดของลาลีกา บทวิเคราะห์เชิงลึก และเรื่องราวเบื้องหลังนักเตะระดับโลก
สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ ufabet แทงบอล เว็บไซต์ศูนย์รวมข่าวบอลและการเดิมพันครบวงจร

บาเยิร์น มิวนิค เตรียมยื่นข้อเสนอ 75 ล้านยูโร คว้าตัว “ดานี่ โอลโม่” จากบาร์เซโลนา

เปิดศึกตลาดนักเตะ: บาเยิร์น มิวนิค กับเป้าหมายใหม่ชื่อ ดานี่ โอลโม่

สื่อชื่อดัง รายงานข่าวที่สร้างความฮือฮาไปทั้งยุโรปว่า สโมสร บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่แห่งบุนเดสลีกา เตรียมยื่นข้อเสนอจำนวนมหาศาลถึง 75 ล้านยูโร (ประมาณ 2,800 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัว ดานี่ โอลโม่ (Dani Olmo) เพลย์เมกเกอร์ชาวสเปนวัย 27 ปีของ บาร์เซโลนา

ตามรายงานระบุว่า บาเยิร์นจับตามองโอลโม่อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากนักเตะรายนี้เริ่มกลับมามีความฟิตเต็มร้อยในปี 2025 และมีบทบาทสำคัญในเกมรุกของบาร์ซา ถึงแม้ผลงานในฤดูกาลนี้อาจยังไม่ถึงขั้นโดดเด่น แต่ศักยภาพของเขาและสไตล์การเล่นที่ยืดหยุ่นยังคงดึงดูดสายตาทีมใหญ่ในยุโรป

จากลา มา สู่กลับ: เส้นทางชีวิตลูกหนังของดานี่ โอลโม่

โอลโม่เป็นหนึ่งในผลผลิตชั้นดีของอะคาเดมี “ลา มาเซีย” ของบาร์เซโลนา เขาเข้าสู่ระบบเยาวชนตั้งแต่อายุเพียง 9 ขวบ และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในดาวรุ่งพรสวรรค์สูงสุดของสเปนในยุคนั้น

แต่ในปี 2014 เขาตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต ด้วยการย้ายออกจากบาร์ซาไปอยู่กับ ดินาโม ซาเกร็บ ประเทศโครเอเชีย เพื่อโอกาสในการลงเล่นทีมชุดใหญ่ ซึ่งการตัดสินใจครั้งนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอาชีพ เพราะในเวลาต่อมา เขากลายเป็นแกนหลักของทีมและพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

จากนั้นในปี 2020 เขาย้ายไป RB ไลป์ซิก ในศึกบุนเดสลีกา ด้วยค่าตัวราว 30 ล้านยูโร และที่นั่นเอง เขาได้พิสูจน์ตัวเองจนกลายเป็นหนึ่งในเพลย์เมกเกอร์ชั้นนำของยุโรป ด้วยสไตล์การเล่นที่ผสมผสานความเร็ว ความคิดสร้างสรรค์ และความเข้าใจเกมสูง

ในปี 2023 เขากลับมาบาร์เซโลนาอีกครั้งด้วยค่าตัวราว 60 ล้านยูโร ท่ามกลางความคาดหวังว่าจะกลายเป็นหัวใจหลักในแผนการสร้างทีมใหม่ของสโมสร

สถานการณ์ปัจจุบัน: ทำไมบาร์เซโลนาอาจยอมขาย

แม้จะเป็นหนึ่งในนักเตะที่บาร์ซาคาดหวังไว้สูง แต่ความเป็นจริงกลับไม่ราบรื่นนัก โอลโม่เจอปัญหาการบาดเจ็บต่อเนื่องและมีปัญหาการลงทะเบียนนักเตะในช่วงแรกที่กลับมา ทำให้การปรับตัวล่าช้า

ฤดูกาล 2025 เขาลงเล่นไป 13 นัด ทำได้เพียง 1 ประตู และมีส่วนร่วมกับเกมรุกค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับค่าเหนื่อยที่สูงถึง 10 ล้านยูโรต่อปี บวกกับปัญหาการเงินของสโมสรที่ยังคงเป็นประเด็นใหญ่ ทำให้ผู้บริหารอาจต้องตัดสินใจขายนักเตะรายใดรายหนึ่งที่มีมูลค่าสูง เพื่อปรับสมดุลทางบัญชี

รายงานระบุว่า บาร์เซโลนากำลังพิจารณาขาย “ทรัพย์สินสำคัญ” อย่างน้อยหนึ่งรายในปี 2026 และชื่อของโอลโม่ก็อยู่ในลิสต์นั้น

บาเยิร์น มิวนิค: แผนการเสริมทัพและความตั้งใจระยะยาว

แหล่งข่าวจากเยอรมนีระบุว่า บาเยิร์นกำลังมองหา “จอมทัพใหม่” เพื่อมาทดแทนช่องว่างระยะยาวของผู้เล่นอย่าง โธมัส มุลเลอร์ ที่เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายอาชีพ และโอลโม่ถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมทั้งในแง่ประสบการณ์และความคุ้นเคยกับฟุตบอลเยอรมัน

ภายใต้การนำของ ฮันซี่ ฟลิค ซึ่งรู้จักโอลโม่ตั้งแต่สมัยที่เขาเล่นในบุนเดสลีกา บาเยิร์นเชื่อว่าสไตล์การเล่นของนักเตะรายนี้สามารถเข้ากับทีมได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะเมื่อต้องเล่นร่วมกับดาวดังอย่าง แฮร์รี่ เคน, ไมเคิล โอลิเซ และ จามาล มูเซียลา

นอกจากนี้ บาเยิร์นยังมองว่า โอลโม่เป็น “เป้าหมายเชิงกลยุทธ์” ที่สามารถยกระดับเกมรุกของทีมได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยคาดว่าเขาจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในแผนการสร้างทีมปี 2026

ข้อดีที่บาร์เซโลนาอาจได้จากการขาย

1. ปลดล็อกภาระการเงิน – การขายโอลโม่ในราคา 75 ล้านยูโร จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้สโมสรและเปิดโอกาสให้ฟลิค (กุนซือคนปัจจุบันของบาร์ซา) สามารถนำเงินไปเสริมกองหน้าหรือเซ็นเตอร์แบ็กคนใหม่
   
2. มีตัวแทนพร้อมอยู่แล้ว – ดาวรุ่งอย่าง เฟร์มิน โลเปซ กำลังโชว์ฟอร์มโดดเด่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก ขณะที่ ราฟินญ่า ก็เริ่มกลับมาฟิตเต็มที่หลังบาดเจ็บ
   
3. ลดแรงกดดันในทีม – การปล่อยโอลโม่ออกไปอาจช่วยให้บรรยากาศในห้องแต่งตัวดีขึ้น เพราะจะเปิดพื้นที่ให้ผู้เล่นอายุน้อยได้พิสูจน์ตัวเอง
   

เสียงสะท้อนจากแฟนบอลและนักวิเคราะห์

ในโลกโซเชียลมีเสียงแตกเป็นสองฝ่าย
กลุ่มหนึ่งมองว่าการขายโอลโม่คือ “การตัดสินใจทางธุรกิจที่ถูกต้อง” เพราะนักเตะยังไม่สามารถตอบแทนความคาดหวังได้เต็มที่ ส่วนอีกกลุ่มกลับมองว่า “บาร์เซโลนาอาจเสียของ” เพราะศักยภาพของเขายังมีให้พัฒนาอีกมาก

อดีตนักเตะบาร์ซารายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับ Marca ว่า

“โอลโม่ยังไม่ถึงจุดพีค เขามีเทคนิคดีเยี่ยมและเป็นผู้เล่นที่เข้าใจระบบของบาร์ซาอย่างลึกซึ้ง หากเขาย้ายออกไปเร็วเกินไป มันอาจเป็นความผิดพลาดอีกครั้งเหมือนตอนที่ปล่อยเปดรีออกไปในอดีต”

ความเคลื่อนไหวของทีมอื่นในดีลนี้

บาเยิร์นมิวนิคไม่ใช่ทีมเดียวที่ให้ความสนใจ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์, และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่างถูกเชื่อมโยงกับดีลนี้เช่นกัน

โดยเฉพาะสเปอร์ส ที่ยังคงต้องการเพลย์เมกเกอร์ตัวสร้างสรรค์เกมมาช่วยเสริมเกมรุกหลังจากการจากไปของแฮร์รี่ เคน ในขณะที่แมนฯ ซิตี้มองโอลโม่เป็น “ทางเลือกสำรอง” หากพวกเขาพลาดเป้าหมายหลักในตลาดซัมเมอร์หน้า

ความเป็นไปได้ในเชิงเศรษฐกิจของดีลนี้

แม้ข่าวจะยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่จากมุมมองทางการเงิน ดีลนี้ “มีความเป็นไปได้สูง” เพราะบาร์เซโลนายังคงเผชิญข้อจำกัดด้านเพดานค่าเหนื่อยและต้องการระดมทุนก่อนฤดูกาล 2026

การขายโอลโม่ในราคาสูงกว่า 70 ล้านยูโรจะช่วยให้ทีมสามารถรักษาผู้เล่นหลักอย่าง เลวานดอฟสกี้, อาราอูโฆ่, และ เดอ ยอง ไว้ได้โดยไม่กระทบต่อสมดุลทางการเงิน

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวบางแห่งเตือนว่า บาเยิร์นอาจเจอการแข่งขันจากทีมพรีเมียร์ลีกที่พร้อมจ่ายมากกว่า และโอลโม่เองก็ยังลังเลว่าจะกลับไปเยอรมนีหรือเปิดประสบการณ์ใหม่ในอังกฤษ

วิเคราะห์เชิงแท็คติก: ทำไมบาเยิร์นถึงเลือกโอลโม่

1. ความยืดหยุ่นทางแท็คติกสูง – เล่นได้ทั้งปีกซ้าย กลางรุก หรือแม้แต่กองหน้าตัวต่ำ
   
2. เชื่อมเกมได้ลื่นไหล – มีสถิติการจ่ายบอลสำเร็จกว่า 88% ในบุนเดสลีกา
   
3. เข้าใจระบบเยอรมันดี – ผ่านการเล่นในลีกมาแล้วกว่า 100 นัดกับ RB ไลป์ซิก
   
4. มีทัศนคติเป็นมืออาชีพ – ได้รับคำชมจากอดีตโค้ชว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีความทุ่มเทและเข้าใจเกมมากที่สุด
   

ทั้งหมดนี้ทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายที่ “สมเหตุสมผล” สำหรับทีมที่ต้องการเสริมแนวรุกอย่างบาเยิร์น มิวนิค

บทสรุป: ดีลที่สะเทือนยุโรป หรือแค่ข่าวลือระลอกใหม่?

แม้จะยังไม่มีการยืนยันจากทั้งสองสโมสร แต่ข่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มใหม่ในตลาดซื้อขายนักเตะยุโรป ที่ทีมใหญ่ต้องการ “ผู้เล่นสารพัดประโยชน์” ที่สามารถปรับเข้ากับระบบได้ทันที

หากบาเยิร์นประสบความสำเร็จในการดึงโอลโม่กลับบุนเดสลีกา จะถือเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ และอาจกลายเป็นการรีเทิร์นสู่ฟอร์มระดับท็อปของเขาอีกครั้งหลังจากเจอมรสุมในคัมป์นู

ในขณะเดียวกัน สำหรับบาร์เซโลนา นี่อาจเป็นการตัดสินใจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากต้องการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและสร้างทีมใหม่ในระยะยาว

ตอนจบ: เมื่อโลกฟุตบอลไม่หยุดหมุน – คุณพร้อมหรือยัง? 

ตลาดนักเตะกำลังร้อนแรง และทุกข่าวลืออาจกลายเป็นดีลจริงได้ในพริบตา สำหรับแฟนฟุตบอลที่ไม่เพียงต้องการติดตาม แต่ยังอยากมีส่วนร่วมกับเกมลูกหนังอย่างเต็มอรรถรส

คุณสามารถเปลี่ยน “ความหลงใหลในฟุตบอล” ให้กลายเป็น “โอกาสสร้างรายได้” ผ่าน UFABET แทงบอล เว็บเดิมพันฟุตบอลที่ให้ราคาดีที่สุด ครอบคลุมทุกลีกตั้งแต่พรีเมียร์ลีกจนถึงบุนเดสลีกา พร้อมวิเคราะห์ก่อนเกมแบบเรียลไทม์ ให้คุณเดิมพันได้อย่างมั่นใจเหมือนนักวิเคราะห์มืออาชีพ!

แมนยูฯ – สเปอร์ส มุ่งหน้าสู่ดาวรุ่งวัย 22 ปี ‘คนพิเศษ’ ที่จะผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก

สื่ออังกฤษรายงานว่า แมนยูฯ – สเปอร์ส กำลังเตรียมเปิดศึกนอกสนาม เพื่อแย่งลายเซ็นของ “อเล็กซ์ สก็อตต์” (Alex Scott) มิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษวัย 22 ปีของ บอร์นมัธ ที่กำลังสร้างชื่อในพรีเมียร์ลีก ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นและพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตามรายงานจ ทีมแมวมองของ INEOS ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริหารใหม่ของแมนฯ ยูไนเต็ด ได้ติดตามฟอร์มของสก็อตต์มาตลอดฤดูกาลนี้ และประทับใจอย่างมากกับความสามารถของเขา จนตัดสินใจใส่ชื่อไว้ในลิสต์นักเตะเป้าหมายที่ทีมต้องการเสริมทัพในปี 2026

รูเบน อาโมริม ผู้จัดการทีมคนปัจจุบันของแมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้อนุมัติให้สโมสรเดินหน้าเจรจาคว้าตัวสก็อตต์ โดยเชื่อว่านักเตะรายนี้จะสามารถเข้ามาเติมเต็มแดนกลางได้ทั้งในแง่ของพลัง ความเร็ว และวิสัยทัศน์การเล่น

เส้นทางของอเล็กซ์ สก็อตต์ สู่พรีเมียร์ลีก

1. เริ่มต้นจากเกิร์นซีย์ (Guernsey) – สก็อตต์เปิดตัวในปี 2019 ในฐานะนักเตะอายุน้อยที่สุดของสโมสรท้องถิ่น และเริ่มสร้างชื่อจากจังหวะการจ่ายบอลที่เฉียบขาดเกินวัย
   
2. แจ้งเกิดกับบริสตอล ซิตี้ – ย้ายเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ของบริสตอล ซิตี้ ในแชมเปี้ยนชิพ และกลายเป็นดาวเด่นประจำทีมภายในเวลาไม่นาน ด้วยความสามารถในการเชื่อมเกมและควบคุมจังหวะ
   
3. ย้ายสู่บอร์นมัธ (2023) – ในปี 2023 เขาย้ายมาเล่นให้บอร์นมัธด้วยค่าตัวสูงถึง 25 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นสถิติสโมสรในตอนนั้น และกลายเป็นหัวใจสำคัญของทีมในทันที
   

ทำไม “อเล็กซ์ สก็อตต์” ถึงกลายเป็นเป้าหมายของทีมใหญ่

สก็อตต์ถือเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์อังกฤษรุ่นใหม่ที่ครบเครื่องที่สุดในตอนนี้ เขามีทั้งพลัง ความมั่นใจ และความสามารถในการครองบอลได้อย่างแน่นอน จุดเด่นของเขาคือการลากบอลจากกลางสนามไปสู่พื้นที่สุดท้ายคล้ายกับสไตล์ของ แจ็ค กรีลิช อีกทั้งยังสามารถเล่นได้ทั้งตำแหน่งเบอร์ 6, 8 และ 10 ทำให้โค้ชสามารถปรับใช้ได้หลากหลายระบบ

ในฤดูกาลนี้ เขาลงสนามครบทั้ง 11 นัดในพรีเมียร์ลีก และมีบทบาทสำคัญช่วยให้บอร์นมัธกลายเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้น่าดูและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้จะเป็นทีมเล็ก แต่สก็อตต์ก็กลายเป็นชื่อที่แฟนบอลและกูรูต่างยกย่อง

โธมัส ทูเคิล เคยกล่าวถึงเขาว่า “อเล็กซ์เป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมและมีอนาคตไกล ส่วน ลูอิส คุก เพื่อนร่วมทีมบอร์นมัธ ก็ยกให้เขาเป็นผู้เล่นที่ ‘พิเศษ’ เพราะความนิ่งและอ่านเกมขาด”

ศึกแย่งชิงระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด และ สเปอร์ส

ฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด มองว่าสก็อตต์คือผู้เล่นที่สามารถพัฒนาเป็นกองกลางระดับโลกได้ภายในไม่กี่ปี โดยเฉพาะในยุคของรูเบน อาโมริม ที่เน้นการสร้างทีมจากนักเตะอายุน้อยและมีพลังสูง

ในขณะที่ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เองก็ยังคงไม่ลดความพยายาม หลังจากพลาดโอกาสคว้าตัวสก็อตต์ไปเมื่อครั้งอยู่บริสตอล ซิตี้ โดยตอนนี้ทีมของ อันเก้ ปอสเตโกกลู ยังต้องการมิดฟิลด์ที่มีความยืดหยุ่นในเกมรุกและเกมรับ ซึ่งสก็อตต์ตอบโจทย์ทุกอย่าง

ทั้งสองทีมต่างส่งทีมงานสก็อตต์ไปติดตามฟอร์มของเขาหลายครั้งในฤดูกาลนี้ และอาจเปิดศึกแย่งตัวกันจริงในตลาดซัมเมอร์หน้า

ค่าตัวและสถานการณ์การซื้อขาย

แม้ค่าตัวของสก็อตต์ยังไม่ได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่า บอร์นมัธจะไม่ปล่อยนักเตะในราคาต่ำกว่า 60-65 ล้านปอนด์ หลังจากเพิ่งตั้งราคาของ อองตวน เซเมนโย ไว้สูงถึง 75 ล้านปอนด์ ซึ่งสะท้อนว่าทีมพร้อมปกป้องทรัพย์สินสำคัญของพวกเขาเต็มที่

นักวิเคราะห์ในอังกฤษมองว่า หากสก็อตต์ยังรักษาฟอร์มดีต่อเนื่อง เขาอาจกลายเป็นหนึ่งในแข้งอังกฤษที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาดซัมเมอร์ 2026

ใครคือคู่แข่งในตลาดเดียวกัน

แมนฯ ยูไนเต็ดไม่ได้มีแค่สก็อตต์ในลิสต์ พวกเขายังจับตาดู มอร์เทน ฮยูลมันด์ (Morten Hjulmand) จากสปอร์ติง ลิสบอน, คาร์ลอส บาเลบา (Carlos Baleba) จากไบรท์ตัน, และ อังเจโล สติลเลอร์ (Angelo Stiller) จากสตุ๊ตการ์ต

ขณะที่ เอลเลียต แอนเดอร์สัน (Elliot Anderson) จากน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ก็ถูกระบุว่าเป็นอีกเป้าหมายที่ “ปีศาจแดง” อาจทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อคว้าตัวในอนาคตอันใกล้

อย่างไรก็ตาม ชื่อของสก็อตต์ยังคงอยู่ในลำดับต้นๆ เพราะเขามีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีกแล้ว และเข้ากับแผนการสร้างทีมระยะยาวของอาโมริมมากที่สุด

อนาคตของสก็อตต์: ทีมเล็กวันนี้ อาจเป็นกำลังหลักทีมชาติอังกฤษพรุ่งนี้

การได้รับโอกาสติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ถือเป็นก้าวสำคัญในเส้นทางอาชีพของอเล็กซ์ สก็อตต์ เขาได้รับคำชื่นชมจากแกเร็ธ เซาธ์เกต ว่ามี “สภาพจิตใจที่แข็งแกร่งและความสามารถทางแท็คติกเหนือวัย”

หลายฝ่ายเชื่อว่า หากเขาย้ายไปอยู่กับทีมระดับท็อปอย่างแมนฯ ยูไนเต็ดหรือสเปอร์ส โอกาสในการพัฒนาฝีเท้าจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว และอาจกลายเป็นแกนหลักของทีมชาติอังกฤษในอนาคต

บทสรุป: ศึกแห่งอนาคตของสองทีมยักษ์

ดีลของอเล็กซ์ สก็อตต์ ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อนักเตะคนหนึ่ง แต่คือการแย่ง “อนาคตของพรีเมียร์ลีก” ระหว่างสองสโมสรที่กำลังอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างใหม่

• แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการมิดฟิลด์รุ่นใหม่เพื่อสร้างทีมยุคหลังบรูโน่ แฟร์นันเดส
  
• สเปอร์ส ต้องการตัวสร้างสรรค์เกมแทนช่องว่างของคริสเตียน อีริคเซ่นในอดีต
  

ทั้งสองทีมต่างเห็นตรงกันว่า สก็อตต์คือคำตอบของอนาคต

เพิ่มเติม:
สำหรับแฟนฟุตบอลที่ติดตามข่าวย้ายทีมแบบใกล้ชิดและอยากลุ้นความตื่นเต้นในเกมจริง คุณสามารถร่วมสนุกและวิเคราะห์ผลการแข่งขันได้กับ UFABET แทงบอล เว็บเดิมพันฟุตบอลออนไลน์ที่ให้ราคาน้ำดีที่สุดในไทย ครบทุกคู่ พรีเมียร์ลีก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และลีกดังทั่วโลก พร้อมอัปเดตข่าวสารและบทวิเคราะห์ก่อนเกมทุกวันแบบเรียลไทม์!

สองแหล่งข่าวตอบโต้กระแสข่าวลือ “ บาร์เซโลนา เตรียมปฏิบัติการใหญ่ ล่าตัว มาร์ติน โอเดการ์ด จากอาร์เซน่อล”

ผู้จัดการทีม บาร์เซโลนา ฮานซี่ ฟลิค กำลังตกเป็นข่าวว่าต้องการหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญของ มิเกล อาร์เตต้า แห่งอาร์เซน่อล ซึ่งก็คือ มาร์ติน โอเดการ์ด อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดยืนยันว่า อาร์เซน่อลไม่มีแผนจะขายกัปตันทีมคนนี้แต่อย่างใด

แม้โอเดการ์ดจะเคยเป็นอดีตนักเตะเรอัล มาดริด แต่ก็ไม่อาจหยุดบาร์เซโลนาจากการให้ความสนใจในตัวเขาได้ มิดฟิลด์ตัวรุกทีมชาตินอร์เวย์รายนี้พัฒนาฝีเท้าอย่างก้าวกระโดดในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดียม หลังจากไม่สามารถแจ้งเกิดกับเรอัล มาดริด และตอนนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเพลย์เมกเกอร์ที่ดีที่สุดในโลก

โอเดการ์ดลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ของมาดริดเพียง 11 นัด แต่กับอาร์เซน่อล เขาได้ลงเล่นไปแล้วกว่า 205 นัด ยิงได้ 41 ประตู และทำอีก 40 แอสซิสต์ ปัจจุบันเขามีสัญญากับอาร์เซน่อลถึงปี 2028 และอยู่ในช่วงพีคของอาชีพ

รายงานในสเปนระบุว่า ฟลิคต้องการตัวโอเดการ์ดเป็นพิเศษ เพื่อมาเสริมแดนกลางให้กับทีม อย่างไรก็ตาม ฝั่งอาร์เซน่อลไม่พอใจกับความพยายามของแชมป์เก่าลาลีกาที่จ้องจะคว้าแข้งคนสำคัญไป

พีท โอรูร์ก นักข่าวสายตลาดนักเตะเปิดเผยว่า “ผมไม่เห็นโอกาสเลยที่โอเดการ์ดจะย้ายออกจากอาร์เซน่อล ถึงแม้ฤดูกาลนี้เขาจะมีอาการบาดเจ็บรบกวนบ้าง แต่เมื่อเขาพร้อม เขาคือผู้เล่นตัวหลักของทีม และอาร์เตต้าก็ยังคงมองว่าเขาเป็นหัวใจสำคัญในเกมรุก”

เขากล่าวเสริมว่า “บาร์เซโลนาอาจสนใจในตัวโอเดการ์ดก็จริง เพราะเขาเป็นผู้เล่นระดับท็อป แต่ด้วยปัญหาทางการเงินของสโมสร ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถจ่ายค่าตัวและค่าเหนื่อยมหาศาลที่อาร์เซน่อลต้องการได้”

แหล่งข่าว ยังระบุเพิ่มเติมว่า “บาร์เซโลนาอาจยังคงเป็นทีมที่มีเสน่ห์สำหรับนักเตะหลายคน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว พวกเขาไม่มีศักยภาพทางการเงินพอจะปิดดีลโอเดการ์ดได้”

ดีน โจนส์ นักข่าว กล่าวว่า “อาร์เซน่อลไม่มีทางเปิดรับข้อเสนอใดๆ สำหรับโอเดการ์ด เพราะเขาคือแกนหลักของทีม ทั้งในฐานะกัปตันและผู้นำในสนาม พวกเขาต้องการสร้างทีมโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง”

“แม้บาร์เซโลนายังมีชื่อเสียงและเสน่ห์ดึงดูด แต่ความจริงคือพวกเขาไม่มีพลังทางการเงินพอจะโน้มน้าวให้อาร์เซน่อลขายหนึ่งในนักเตะที่สำคัญที่สุดของพวกเขาได้”

“โอเดการ์ดยังเป็นผู้เล่นที่มีอิทธิพลในเกมของอาร์เซน่อล โดยเฉพาะเมื่อประสานงานกับ บูคาโย ซาก้า เขามีบทบาทในการกำหนดจังหวะเกมอย่างชัดเจน และถึงแม้ทีมจะมีการเสริมทัพมากมาย แต่โอกาสที่อาร์เซน่อลจะยอมปล่อยเขานั้นแทบจะเป็นศูนย์”

อดีตดาวรุ่งเรอัล มาดริด สู่หัวใจของอาร์เซน่อล

มาร์ติน โอเดการ์ด เคยเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในยุโรปตั้งแต่สมัยอยู่กับเรอัล มาดริด แต่ด้วยอายุที่ยังน้อยและการแข่งขันที่สูง ทำให้เขาไม่สามารถสอดแทรกขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของราชันชุดขาวได้เต็มตัว เขาได้ลงสนามให้มาดริดเพียง 11 นัด ก่อนจะถูกปล่อยยืมตัวไปหลายสโมสรเพื่อหาประสบการณ์

แต่เมื่อโอกาสเดินทางมาถึงพรีเมียร์ลีก และเขาเลือกย้ายมาร่วมทีมอาร์เซน่อลในปี 2021 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ภายใต้การดูแลของ มิเกล อาร์เตต้า เพลย์เมกเกอร์ชาวนอร์เวย์รายนี้ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้นำในสนาม ด้วยสไตล์การเล่นที่สงบนิ่ง มีวิสัยทัศน์ยอดเยี่ยม และสามารถควบคุมจังหวะเกมได้อย่างชาญฉลาด

ปัจจุบันโอเดการ์ดลงสนามให้ “เดอะ กันเนอร์ส” ไปแล้วกว่า 205 นัด ทำได้ 41 ประตู และจ่ายอีก 40 แอสซิสต์ เขาเป็นหัวใจของเกมรุกในระบบ 4-3-3 ของอาร์เตต้า และได้รับปลอกแขนกัปตันทีมอย่างเป็นทางการในฤดูกาล 2022–23 ซึ่งนับแต่นั้นมาเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคใหม่แห่งความหวังของแฟนบอลอาร์เซน่อล

บาร์เซโลนากับความฝันที่อาจเป็นไปไม่ได้

รายงานจากสื่อสเปนระบุว่า ฮานซี่ ฟลิค กุนซือบาร์เซโลนา ชื่นชอบสไตล์การเล่นของโอเดการ์ดเป็นพิเศษ และมองว่าเขาจะเป็นจิ๊กซอว์ที่เข้ามาเติมเต็มแดนกลางของทีม โดยเฉพาะหลังจากที่ เซร์คิโอ บุสเกตส์ อำลาทีมไป บาร์ซาต้องการเพลย์เมกเกอร์ที่สามารถเชื่อมเกมได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งชื่อของโอเดการ์ดคือคำตอบในอุดมคติ

แต่ในความเป็นจริง เส้นทางนี้ดูแทบจะเป็นไปไม่ได้ พีท โอรูร์ก นักข่าวจาก Football Insider เปิดเผยว่า “ผมไม่เห็นโอกาสเลยที่โอเดการ์ดจะย้ายออกจากอาร์เซน่อล ถึงแม้ฤดูกาลนี้เขาจะมีอาการบาดเจ็บรบกวนบ้าง แต่เมื่อเขาฟิต เขายังคงเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม และอาร์เตต้าก็ยังคงมองว่าเขาเป็นหัวใจสำคัญในเกมรุก”

เขากล่าวต่อว่า “แม้บาร์เซโลนาจะยังคงเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีเสน่ห์มากที่สุดในโลก แต่พวกเขายังคงเผชิญกับข้อจำกัดทางการเงินอย่างหนักหลังวิกฤตโควิด-19 ทำให้การทุ่มเงินระดับ 100 ล้านยูโรขึ้นไปเพื่อคว้าโอเดการ์ดนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันของพวกเขา”

บาร์ซาขาดศักยภาพการเงินในการปิดดีล

แหล่งข่าว ให้ข้อมูลเสริมว่า “บาร์เซโลนาอาจยังมีชื่อเสียงและแรงดึงดูดในวงการฟุตบอลยุโรป แต่ในเชิงปฏิบัติแล้ว พวกเขาไม่มีศักยภาพทางการเงินเพียงพอจะปิดดีลนักเตะระดับนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาร์เซน่อลประเมินค่าตัวของโอเดการ์ดไว้สูงมาก และยังมีสัญญาถึงปี 2028”

ดีน โจนส์ นักข่าวอีกคน ก็ย้ำแนวคิดนี้ว่า “อาร์เซน่อลไม่มีทางเปิดรับข้อเสนอใด ๆ สำหรับโอเดการ์ด เพราะเขาไม่ได้เป็นเพียงนักเตะธรรมดา แต่เป็นผู้นำทั้งในห้องแต่งตัวและในสนาม สโมสรต้องการสร้างอนาคตของทีมโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง”

อาร์เซน่อลกับยุทธศาสตร์ระยะยาว

ภายใต้นโยบายของ มิเกล อาร์เตต้า และ เอดู ผู้อำนวยการกีฬา อาร์เซน่อลได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าพวกเขากำลังสร้างทีมเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่เพียงฤดูกาลเดียว การเก็บนักเตะตัวหลักอย่างโอเดการ์ดไว้จึงเป็นหัวใจสำคัญในแผนระยะยาว สโมสรได้ต่อสัญญากับเขาจนถึงปี 2028 พร้อมเพิ่มค่าเหนื่อยให้สูงขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ได้รับค่าจ้างมากที่สุดในทีม

นอกจากนี้ อาร์เซน่อลยังคงลงทุนกับผู้เล่นรุ่นใหม่ เช่น บูคาโย ซาก้า, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่, เดแคลน ไรซ์ และ วิลเลียม ซาลิบา เพื่อสร้างโครงสร้างทีมที่แข็งแกร่งในทุกรุ่นอายุ และโอเดการ์ดคือ “ผู้นำธรรมชาติ” ที่ได้รับความเคารพจากทุกคนในทีม การปล่อยตัวเขาออกไปจึงเท่ากับการถอยหลังในแผนพัฒนาโดยรวมของสโมสร

สไตล์การเล่นที่เข้ากับอาร์เซน่อลอย่างลงตัว

ในระบบของอาร์เตต้า โอเดการ์ดไม่ใช่เพียงเพลย์เมกเกอร์ที่สร้างสรรค์โอกาสเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในเกมเพรสซิ่งและการสร้างความได้เปรียบในแดนกลาง เขาสามารถอ่านเกมได้อย่างเฉียบคม รู้จังหวะว่าจะส่งบอลไปที่ใดเพื่อทำลายแนวรับคู่แข่ง การประสานงานระหว่างเขากับ บูคาโย ซาก้า ทางกราบขวา ถือเป็นอาวุธสำคัญของอาร์เซน่อลในฤดูกาลที่ผ่านมา

ในหลายเกมที่โอเดการ์ดไม่ได้ลงสนาม แฟนบอลสามารถเห็นได้ชัดว่าทีมขาดการควบคุมเกมกลางสนามและความสร้างสรรค์ในพื้นที่สุดท้าย สถิติการครองบอลของอาร์เซน่อลลดลงเฉลี่ย 10% เมื่อเขาไม่อยู่ในสนาม ซึ่งตอกย้ำว่าเขาไม่ใช่แค่หนึ่งในนักเตะที่ดี แต่เป็น “แก่นหลัก” ของระบบทั้งหมด

ทำไมบาร์เซโลนายังตามล่าฝันเช่นนี้?

บาร์เซโลนาในยุคของฮานซี่ ฟลิค พยายามสร้างสมดุลระหว่างการใช้ผู้เล่นดาวรุ่งจากลา มาเซีย และการเสริมทัพจากตลาดนักเตะต่างประเทศ พวกเขาเคยพยายามดึงผู้เล่นอย่าง เบอร์นาร์โด้ ซิลวา, โจชัว คิมมิช และตอนนี้มาถึงชื่อของโอเดการ์ด แต่ความเป็นจริงคือสโมสรยังคงติดกับข้อจำกัดด้านค่าเหนื่อยและกฎไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์ของลาลีกา

หากพิจารณาในแง่กลยุทธ์ การพยายามคว้าตัวโอเดการ์ดอาจเป็นเพียง “สัญลักษณ์ทางจิตวิทยา” ที่แสดงให้เห็นว่าบาร์เซโลนายังคงมีอิทธิพลในตลาดนักเตะ แม้สถานะทางการเงินจะตกต่ำก็ตาม แต่ในมุมของอาร์เซน่อล การตอบโต้อย่างรวดเร็วและชัดเจนต่อข่าวลือนี้คือสัญญาณว่าพวกเขาไม่ยอมให้ใครมายุ่งกับเสาหลักของทีมง่าย ๆ อีกต่อไป

ความแตกต่างของสองแนวทาง

ในขณะที่อาร์เซน่อลกำลังเดินหน้าในแนวทางแห่งความมั่นคงทางการเงินและความต่อเนื่องของทีม บาร์เซโลนายังคงพยายามหาวิธีฟื้นฟูอำนาจเดิมของตนผ่านการเสริมทัพระดับโลก การล่าตัวโอเดการ์ดจึงสะท้อนถึงความแตกต่างของสองสโมสร ทั้งในด้านเศรษฐกิจและปรัชญาการทำทีม

อาร์เซน่อลเลือกที่จะสร้างจากภายใน ลงทุนในนักเตะที่เติบโตไปพร้อมกับสโมสร ในขณะที่บาร์เซโลนายังคงมองหาการเสริมความแข็งแกร่งจากภายนอก ซึ่งเป็นวิถีที่เคยใช้ได้ผลในยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา แต่ดูเหมือนจะไม่เหมาะกับยุคที่ต้องคำนึงถึงสมดุลทางการเงินอย่างเข้มงวด

สรุป:

ข่าวลือที่ว่า บาร์เซโลนา เตรียมยื่นข้อเสนอซื้อมาร์ติน โอเดการ์ด ถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงจากทั้งนักข่าวและแหล่งข่าวใกล้ชิดในอังกฤษและสเปน อาร์เซน่อลมองว่าโอเดการ์ดคือศูนย์กลางของทีมในระยะยาว และด้วยสัญญาที่ยังเหลือถึงปี 2028 รวมถึงสถานะกัปตันทีม ทำให้ความเป็นไปได้ที่เขาจะย้ายทีมในเร็วๆ นี้แทบไม่มีเลย

คำแนะนำเพิ่มเติม:

อ่านข่าวฟุตบอลอัปเดตและบทวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับพรีเมียร์ลีกและยูฟ่าได้ที่ สมัคร UFABET แทงบอล เพื่อเข้าร่วมติดตามทุกความเคลื่อนไหวในโลกฟุตบอลแบบเรียลไทม์

โอโก้ โชต้า ดาวยิงเพื่อนร่วมชาติ โรนัลโด้ ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม

ดีโอโก้ โชต้า วัย 28 ปี กับ อันเดร ซิลวา น้องชายวัย 26 ปีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์บนถนนมอเตอร์เวย์ในประเทศสเปน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องช็อกอย่างมากในวงการลูกหนังโลก โรนัลโด้

ทางการ! เจนัว ตั้ง เด รอสซี่ คุมทีมหลังเด้ง วิเอร่า

อิซัก ฟิตบู๊ แมนซิตี้? พ็อตเตอร์ อัปเดตอาการบาดเจ็บหอก ลิเวอร์พูล
ซาลาห์ นัดคุยกุนซืออียิปต์หาทางออกโปรแกรมอุ่นเครื่องต้นเดือนธ.ค.
สำหรับงานพิธีศพของ กองหน้าจากสโมสรลิเวอร์พูล ซึ่งเพิ่งจะแต่งงานเพียงไม่กี่วันก่อนที่จะเสียชีวิตแบบปัจจุบันทันด่วน ที่จัดขึ้นในประเทศโปรตุเกส มีเหล่าเพื่อนร่วมทัพ “หงส์แดง” และทีมชาติโปรตุเกส รวมทั้งญาติพี่น้องของเขามาร่วมงานกันมากมาย

อย่างไรก็ตาม โรนัลโด้ ซึ่งคว้าแชมป์เนชั่นส์ ลีก ร่วมกับ โชต้า เพื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ไม่ได้เดินทางมาร่วมงานสำคัญนี้ และเขาถูกวิจารณ์อย่างหนักหลังมีภาพขณะพักผ่อนอยู่บนเรือยอชต์ในมายอร์ก้า

สำหรับประเด็นนี้ “ซีอาร์ เซเว่น” วัย 40 ปี ได้เผยเหตุผลเป็นครั้งแรกว่าทำไมเขาถึงไม่ได้ไปร่วมงานไว้อาลัย โชต้า จากการให้สัมภาษณ์กับ เพียร์ส มอร์แกน พิธีการชื่อดัง ว่า “มีสองเรื่องที่ผู้คนมักวิจารณ์ผมตลอด อย่างที่ผมเคยบอก ผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก เพราะถ้าคุณรู้สึกว่าจิตสำนึกของตัวเองดีและบริสุทธิ์ คุณก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับสิ่งที่คนอื่นพูดถึงคุณ”

“แต่ผมอยากจะบอกว่ามีหนึ่งในหลายเรื่องที่ผมไม่ทำ หลังจากที่คุณพ่อของผมเสียชีวิต นั่นก็คือผมไม่เคยไปร่วมพิธีศพอีกเลย สำหรับเรื่องที่สอง คุณก็รู้ถึงชื่อเสียงของผมเป็นอย่างดี ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนก็มักจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมเลยเลือกที่จะไม่ไป เพราะถ้าผมไป ความสนใจทั้งหมดก็จะมุ่งมาที่ตัวผม และผมไม่ต้องการความสนใจแบบนั้น”

“ผู้คนจะวิจารณ์ผมต่อไปก็ได้ ผมรู้สึกดี และมั่นใจกับการตัดสินใจของตัวเอง ผมไม่จำเป็นต้องอยู่แถวหน้าเพื่อให้ผู้คนสนใจผม ผมมีแผนมากมาย และผมคิดถึงครอบครัวของเขาอยู่เสมอ ผมไม่จำเป็นต้องอยู่หน้ากล้องเพื่อให้ผู้คนได้เห็นถึงสิ่งที่ผมทำ ผมจะทำเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง เพื่อเพื่อนของผม” โรนัลโด้ ระบุ

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เผยสาเหตุที่ไม่ได้เดินทางไปร่วมพิธีศพ ดีโอโก้ โชต้า หลังถูกวิจารณ์หนัก โดยยืนยันเลือกไม่ไปเพราะไม่อยากให้ความสนใจทั้งหมดตกอยู่ที่ตนเอง พร้อมเผยตั้งแต่พ่อเสียชีวิต ไม่เคยร่วมพิธีศพอีกเลย
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กองหน้าซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุกีส เปิดใจถึงเหตุผลที่ตัดสินใจไม่เดินทางไปร่วมงานพิธีศพของ ดีคริสเตียโน โรนัลโด้ ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกสของ อัล-นาสเซอร์ สโมสรในลีกซาอุดีอาระเบีย ที่ไปร่วมรายการ Piers Morgan Uncensored ของ เพียร์ส มอร์แกน พิธีกรชื่อดังชาวอังกฤษ

โดย ดาวเตะวัย 40 ปี ได้ตอบคำถามในหลายเรื่อง

ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ในหมู่แฟนบอลก็คือการที่เจ้าตัวนั้นไม่เดินทางไปร่วมงานศพของ ดีโอโก้ โชต้า แข้งรุ่นน้องร่วมชาติ ทั้งที่บรรดานักเตะรายอื่นไปร่วมงานกัน

“ผมอยากจะบอกว่าเรื่องนี้ผมโดนวิจารณ์เยอะมาก ซึ่งผมไม่สนใจหรอก เพราะถ้าคุณรู้ว่าตัวเองบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจคำพูดคนอื่น ผมอยากจะบอกสองเรื่อง เรื่องแรก สิ่งที่ผมจะไม่ทำเลยนับตั้งแต่สูญเสียคุณพ่อก็คือการไม่ไปสุสาน”

“เรื่องที่สอง พวกคุณก็รู้ดีว่าผมมีชื่อเสียง ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน มันก็จะกลายเป็นข่าวเสมอ ผมเลยตัดสินใจไม่ไปงานศพของ โชต้า เพราะไม่อยากให้ความสนใจทั้งหมดมันมาอยู่ที่ตัวผม”

“ผู้คนจะยังคงวิจารณ์ผมต่อไปก็ได้ แต่ผมรู้สึกดีกับการตัดสินใจของตัวเอง ผม ไม่จำเป็นต้องไปแค่เพื่อให้ผู้คนเห็นว่าผมอยู่ที่นั่น ผมคิดถึงครอบครัวของเขาแน่นอน และไม่จำเป็นต้องให้กล้องบันทึกว่าผมทำอะไร” กัปตันทีมชาติโปรตุเกส กล่าว ufabet แทงบอล วิเคราะห์ว่านี่ คือ การแสดงความเคารพอย่างมีสติ และเป็นภาพสะท้อนด้านมนุษย์ ของนักเตะระดับตำนาน

ฟุตบอลยุโรป : อินเตอร์ชนะลาซิโอ ขึ้นนำจ่าฝูงเซเรียอา – มาดริดเจ๊าไร้สกอร์กับราโย

ฟุตบอลยุโรป อินเตอร์ มิลาน ขึ้นนำจ่าฝูงกัลโช่ เซเรียอา หลังเปิดบ้านชนะ ลาซิโอ 2–0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จากประตูของ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ ในนาทีที่ 3 และ อ็องเช่-โยอัน บอนนี นาทีที่ 62 ทำให้มี 24 คะแนน เท่ากับ โรมา ที่อยู่อันดับสอง ขณะที่ เอซี มิลาน และ นาโปลี มี 22 คะแนน ส่วน โบโลญญ่า รั้งอันดับ 5 มี 21 คะแนน

อินเตอร์ฟอร์มแรง ขึ้นจ่าฝูง ฟุตบอลยุโรป

เริ่มเกมเพียง 3 นาที อินเตอร์ออกนำก่อนจากจังหวะที่ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ กัปตันทีมรับบอลในเขตโทษ ก่อนยิงด้วยหลังเท้าเข้าเสาสุดสวยให้ทีมนำ 1–0

ครึ่งหลัง นาทีที่ 62 อินเตอร์ได้ประตูที่สองเมื่อ เฟเดริโก้ ดิมาร์โก เปิดบอลเรียดผ่านหน้าประตูไปถึง บอนนี ที่เสาสอง ยิงจ่อ ๆ เข้าไปไม่พลาด

แม้ ปิออตร์ ซีลินสกี้ จะยิงได้อีกลูก แต่ถูก VAR ยกเลิกเนื่องจากมีแฮนด์บอลของดิมาร์โกในจังหวะก่อนหน้า ส่วนลาซิโอก็เกือบตีไข่แตกจากลูกโหม่งของ มาริโอ กีล่า ที่ชนคาน แต่ ยาน ซอมเมอร์ นายด่านอินเตอร์ยังรับไว้ได้ก่อนข้ามเส้น

โรมา 2–0 อูดิเนเซ่

ที่โรม โรมา เปิดบ้านชนะ อูดิเนเซ่ 2–0 จากลูกจุดโทษของ ลอเรนโซ่ เปลเลกรินี นาทีที่ 42 หลัง ฮัสซัน คามาร่า ทำแฮนด์บอลในกรอบ และ เซกี้ เซลิค ยิงเพิ่มในนาทีที่ 61

อูดิเนเซ่พยายามบุกกลับแต่ไม่สำเร็จ โดยลูกโหม่งของ วาคูน บาโย ถูกผู้รักษาประตู ไมล์ สวิลาร์ ปัดออกไป ก่อนที่ลูกยิงของ อาร์เธอร์ อัตตา จะชนเสาในช่วงท้ายเกม

โบโลญญ่า 2–0 นาโปลี

อีกคู่หนึ่ง โบโลญญ่า เปิดบ้านชนะ นาโปลี 2–0 จากประตูของ ไธจ์ส ดัลลิงกา และ ฌอน ลูคูมี ทำให้การแข่งขันแย่งแชมป์เซเรียอายังคงเข้มข้น

โบโลญญ่าเจอปัญหาในต้นเกมเมื่อผู้รักษาประตู ลูคัส สโกรุปสกี้ เจ็บจนต้องเปลี่ยนตัว ส่ง มัสซิโม เพซซินา วัย 17 ปีลงเฝ้าเสาเป็นนัดแรกในลีกสูงสุด

ครึ่งหลังนาทีที่ 50 เจ้าถิ่นนำก่อนจาก ดัลลิงกา ที่ยิงด้วยหลังเท้าเข้าเสาแรก จากนั้นนาทีที่ 66 ลูคูมี โหม่งลูกเปิดจากในกรอบเข้าไปเป็น 2–0 นาโปลีเกือบตีไข่แตกจาก โนอา ลัง ที่ยิงชนเสา แต่สุดท้ายแพ้ไป

ลาลีกา: มาดริดสะดุด ราโยยันเสมอ

เรอัล มาดริด ทำได้เพียงเสมอ ราโย บาเยกาโน่ 0–0 ถือเป็นทีมแรกในฤดูกาลนี้ที่เก็บคลีนชีตได้จากจ่าฝูงลาลีกา

คีเลียน เอ็มบัปเป้ ดาวยิงที่ยิงไปแล้ว 13 ประตูในฤดูกาลนี้ แทบไม่มีโอกาสลุ้น โดยได้ยิงเพียงครั้งเดียวตลอดเกม มาดริดไม่สามารถคว้าชัยที่สนาม เอสตาดิโอ เด บาเยกัส เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน

ราโยได้ผู้รักษาประตู ออกุสโต้ บาตาย่า เป็นฮีโร่ เซฟหลายจังหวะจนช่วยให้ทีมแบ่งแต้มได้สำเร็จ มาดริดมี 31 คะแนนจาก 12 นัด ส่วนราโยอยู่อันดับ 12 มี 15 คะแนน

บาร์เซโลนา 4–2 เซลตา บีโก

โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เหมาซัดแฮตทริก พาบาร์เซโลนาเปิดบ้านชนะ เซลตา บีโก 4–2 ทำให้ตามหลังมาดริดเหลือเพียง 3 คะแนน

เลวานดอฟสกี้ที่เพิ่งหายเจ็บกลับมาลงสนาม ยิงประตูแรกในรอบกว่า 1 เดือน โดยได้สามประตูในเกมเดียว ส่วน ลามีน ยามาล ยิงเพิ่มอีกหนึ่งลูก ขณะที่เซลตาได้สองประตูในครึ่งแรกจาก เซร์คิโอ การ์เรรา และ บอร์ฆา อิเกลเซียส

ลีกเอิง: เปแอสเชเฉือนลียง 3–2

ปารีส แซงต์ แชร์กแมง คว้าชัยช่วงทดเวลาอีกครั้ง หลังบุกชนะ ลียง 3–2 รั้งจ่าฝูงลีกเอิงต่อเนื่อง

ประตูชัยเกิดในช่วงทดเจ็บนาทีที่ 95 จากลูกโหม่งของ ชูเอา เนเวส ที่ขึ้นโหม่งในจังหวะเตะมุม หลังสัปดาห์ก่อนเพิ่งชนะนีซด้วยประตูช่วงท้ายจาก กอนซาโล รามอส

เกมนี้ เปแอสเช ขาดผู้เล่นสำคัญหลายคน ทั้ง อุสมาน เดมเบเล่, อัชราฟ ฮาคิมี, นูโน่ เมนเดส และ เดซีเร ดูเอ้ แต่ยังคว้าชัยได้

วอร์เรน แซร์ เอเมอรี ซึ่งถูกจับไปเล่นแบ็กขวา ยิงนำ 1–0 ในนาทีที่ 26 ก่อนลียงตีเสมอจาก อฟอนโซ่ โมเรย์รา ในนาทีที่ 30 และเปแอสเชได้ประตูนำอีกครั้งจาก ควิชา ควารัตสเคเลีย นาทีที่ 33

ครึ่งหลัง ลียงตีเสมอ 2–2 จาก เอนสลีย์ เมทแลนด์-ไนล์ส อดีตแข้งอาร์เซน่อล แต่ช่วงทดเจ็บ นิโกลัส ตาเกลียฟิโก้ ถูกใบแดงไล่ออก ก่อนที่เปแอสเชจะได้ประตูชัยจากลูกเตะมุมสุดท้ายของเกม

สรุปผล: อินเตอร์ มิลาน และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยังคงนำจ่าฝูงในลีกของตนเอง ขณะที่ เรอัล มาดริด สะดุดเสมอเปิดโอกาสให้ บาร์เซโลนา ไล่จี้เหลือเพียง 3 คะแนนเท่านั้นในศึกฟุตบอลยุโรปสุดสัปดาห์นี้.

สรุปสุดท้าย

สุดสัปดาห์นี้คือบทพิสูจน์ว่าฟุตบอลยุโรปยังคงเต็มไปด้วยความเข้มข้น และสำหรับนักเดิมพัน UFABET คือแหล่งข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์แนวโน้มการเล่น แทงบอล ทั้งแบบเดี่ยว สเต็ป และไลฟ์ เพื่อสร้างโอกาสทำกำไรในทุกแมตช์