ลิซานโดร มาร์ติเนซ กองหลังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมกลับมาลงเล่นในทีมชุดใหญ่เร็วๆ นี้ หลังจากต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บมาเป็นเวลานาน
หลังจากภาพการซ้อมที่แคร์ริงตันถูกปล่อยออกมา แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลายคนก็รู้สึกเหมือนได้ “แสงสว่างปลายอุโมงค์” อีกครั้ง เพราะคนที่ยืนเด่นอยู่หน้ากล้องก็คือ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ปราการหลังตัวหลักที่หายหน้าหายตาไปจากทีมตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า (ACL) เกมพบคริสตัล พาเลซเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่แค่การกลับมาของนักเตะคนหนึ่ง แต่คือการหวนคืนของคาแร็กเตอร์ ความดุดัน และภาวะผู้นำในแนวรับที่ทีมขาดหายไปอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในทีมไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อช่วงเวลาที่มาร์ติเนซพักฟื้น กลายเป็นโอกาสให้ลุค ชอว์ ฟูลแบ็กทีมชาติอังกฤษที่เคยเจ็บยาวเช่นกัน กลับมาแจ้งเกิดในบทบาทใหม่ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฝั่งซ้ายในระบบหลังสาม และทำได้ดีจนยึดตัวจริงอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้เองที่ทำให้เส้นทางการกลับมาของมาร์ติเนซไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนก่อน
การกลับมาแบบค่อยเป็นค่อยไป หลังบาดเจ็บหนัก
อาการบาดเจ็บ ACL ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับนักฟุตบอล โดยเฉพาะผู้เล่นเกมรับที่ต้องปะทะ วิ่งเร่งสปีด และเปลี่ยนทิศทางบ่อย ๆ สำหรับมาร์ติเนซ การต้องพักยาวตั้งแต่กุมภาพันธ์จนถึงปลายปี คือการทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจ เขาถูกกันไว้จากการมีชื่อในทีมแมตช์พบ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ แม้ว่าเจ้าตัวจะผลักดันตัวเองจนดูพร้อมจะเดินทางไปกับทีมแล้วก็ตาม
รูเบน อาโมริม ผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ยอมรับว่าเขาต้องเป็นคน “เบรก” ลูกทีมรายนี้ด้วยตัวเอง เพราะไม่ต้องการเสี่ยงให้การฟื้นฟูที่สั่งสมมาตลอดหลายเดือนต้องพังลงในพริบตา การไม่รีบร้อนส่งลงสนามแม้ในยามที่ทีมต้องการกำลังเสริม จึงเป็นการตัดสินใจที่สะท้อนถึงทั้งความเป็นมืออาชีพและมุมมองระยะยาวของสโมสร
การฟื้นตัวจาก ACL ไม่ใช่แค่การกลับมาซ้อมได้ แต่คือการกลับมาพร้อมความมั่นใจในการเข้าปะทะ กล้าเปลี่ยนทิศ กล้าบล็อก และกล้าวางเท้าเวลาเคลียร์บอล มาร์ติเนซเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งอยู่แล้ว และภาพจากสนามซ้อมก็ชี้ให้เห็นว่าเขามุ่งมั่นอย่างมากในการกลับมาทำทุกอย่างให้เหมือนเดิมหรือดีกว่าเดิม
จากผู้นำแนวรับตัวหลัก สู่บทบาท “ต้องรอโอกาส”
เมื่อมาร์ติเนซได้รับบาดเจ็บในเกมกับพาเลซ แมนฯ ยูฯ ไม่ได้เสียแค่เซ็นเตอร์หนึ่งคน แต่เสีย “คีย์แมนแนวรับ” ที่เป็นทั้งผู้นำ เสียงตะโกนคุมเกม และคนเริ่มเซ็ตเกมจากแดนหลัง เขาคือกองหลังถนัดซ้ายที่เล่นบอลกับเท้าได้ดี กล้าจ่ายทะลุไลน์ และกล้าดันขึ้นสูงมาช่วยเพรส ซึ่งเข้ากับสไตล์ฟุตบอลสมัยใหม่อย่างยิ่ง
ในช่วงก่อนเจ็บ มาร์ติเนซแทบจะเป็นตัวจริงแบบอัตโนมัติในแผงหลัง ไม่ว่าจะเล่นหลังสี่หรือหลังสาม แต่ภาพนั้นเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเวลาผ่านเลยมาถึงเดือนพฤศจิกายน ลุค ชอว์ ที่เคยเจ็บยาวและโดนตั้งคำถามว่าร่างกายจะกลับมายืนระยะไหวหรือไม่ กลับมาฟิตสมบูรณ์และลงเล่นในพรีเมียร์ลีกต่อเนื่อง 11 นัดติดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2023
ผลงานของชอว์ไม่ได้มีดีแค่ความเสถียร แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจแท็คติกในบทบาทเซ็นเตอร์ฝั่งซ้าย เขาอ่านเกมได้ดี เติมเกมได้เมื่อจำเป็น เชื่อมบอลกับมิดฟิลด์และวิงแบ็กได้ลื่นไหล แม้จะมีเกมที่ฟอร์มหลุดอย่างนัดเจอแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ภาพรวมตลอดหลายสัปดาห์ทำให้แทบไม่มีใครแปลกใจที่เขายึดตำแหน่งตัวจริงไว้ได้แน่น
ผลลัพธ์ก็คือ เมื่อมาร์ติเนซกลับมาสู่ทีม เขาต้องเผชิญความจริงใหม่ที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ ตำแหน่งตัวจริงที่เคยเป็นของเขา ได้ถูกคนอื่นยึดไปแล้ว และตอนนี้เขาต้องกลายเป็นฝ่าย “รอโอกาส” มากกว่าจะเป็นคนที่ชื่อถูกเขียนลงในไลน์อัปอัตโนมัติ
บทบาทใหม่ที่ไม่มีใครคาด – จากเสาหลัก สู่ตัวหมุนและตัวกดดันการแข่งขันในทีม
ในมุมหนึ่ง บทบาทใหม่ของมาร์ติเนซอาจไม่ได้ดูหรูหราสำหรับแฟนบอลที่คุ้นเคยกับภาพเขาเป็นหัวใจแนวรับ แต่สำหรับทีมระดับแมนฯ ยูไนเต็ด การมีการแข่งขันในทุกตำแหน่งถือเป็นสัญญาณของการพัฒนาขึ้นอีกระดับ
1. ตัวหมุนระบบหลังสาม
ด้วยสไตล์ของอาโมริมที่เล่นหลังสามเป็นหลัก มาร์ติเนซสามารถเล่นได้ทั้งเซ็นเตอร์ตัวกลางและเซ็นเตอร์ฝั่งซ้าย การมีเขาในทีมทำให้กุนซือมีทางเลือกในการหมุนเวียนผู้เล่น โดยเฉพาะในช่วงโปรแกรมแน่น ทั้งพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลถ้วย และฟุตบอลยุโรป การส่งมาร์ติเนซลงในบางแมตช์อาจช่วยแบ่งเบาภาระชอว์ ทำให้ทั้งคู่รักษาสภาพร่างกายไปพร้อมกันได้
2. ตัวกดดันเพื่อยกระดับฟอร์มลุค ชอว์
การมีคู่แข่งที่มีคุณภาพใกล้เคียงหรืออาจเหนือกว่าในบางด้าน จะทำให้ไม่มีใครสามารถเล่นแบบ “สบายเกินไป” มาร์ติเนซในฐานะอดีตตัวจริงถาวร กลายเป็นแรงกดดันชั้นดีให้ชอว์รักษามาตรฐานตัวเองไว้ เพราะรู้ดีว่า หากฟอร์มตกต่อเนื่อง โอกาสหลุดจาก 11 ตัวจริงมีอยู่ทุกเมื่อ
3. ตัวปิดเกมและเพิ่มความดุดันเวลานำ
ในบางเกมที่ทีมต้องการรักษาสกอร์หรือเพิ่มความแน่นในพื้นที่หน้าประตู การส่งมาร์ติเนซลงมาในช่วงท้ายเกมจะช่วยยกระดับความแข็งแกร่งของแนวรับ เขาไปกับเกมที่มีความดุดันสูงได้ดี กล้าเข้าบอล และไม่กลัวการปะทะ ถือเป็นเครื่องมือแท็คติกอีกรูปแบบที่อาโมริมสามารถหยิบมาใช้ได้
ความท้าทาย 18 เดือนข้างหน้า – ชี้ชะตาอนาคตในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด
มองไปข้างหน้า 18 เดือนต่อจากนี้คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งในเส้นทางอาชีพของลิซานโดร มาร์ติเนซ เขามีสัญญากับสโมสรจนถึงซัมเมอร์ปี 2027 นั่นหมายความว่า หากภายในหนึ่งถึงสองฤดูกาลข้างหน้า เขายังไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงกลับมาได้อย่างมั่นคง คำถามเรื่องอนาคตของเขาที่แมนฯ ยูไนเต็ดก็อาจดังขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับกองหลังวัย 27 ปีที่อยู่ในช่วงพีคของอาชีพ การต้องรับบทเป็นตัวสำรองหรือโรเตชันยาว ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน แต่ในอีกด้านหนึ่ง สิ่งนี้ก็เป็นบทพิสูจน์บุคลิกที่แฟนบอลรู้ดีอยู่แล้วว่าเขามี นั่นคือ ความดื้อดึงแบบนักสู้
เขาผ่านประสบการณ์เจ็บหนักมาแล้ว เขาเคยถูกตั้งคำถามเรื่องส่วนสูงในพรีเมียร์ลีก เคยโดนวิจารณ์เรื่องการเล่นเสี่ยง แต่ทุกครั้งเขาตอบคำถามเหล่านั้นด้วยฟอร์มในสนาม การกลับมาครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาต้องพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าเขายังคู่ควรกับเสื้อหมายเลขตัวจริงในแผงหลังของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แท็คติกของอาโมริม กับโอกาสที่ยังเปิดกว้างสำหรับมาร์ติเนซ
แม้ลุค ชอว์จะทำได้ดีในบทบาทเซ็นเตอร์ซ้าย แต่แท็คติกของอาโมริมไม่ได้ล็อกไว้เพียง 1 รูปแบบ เขาสามารถเปลี่ยนจากหลังสามไปเป็นหลังสี่ หรือปรับให้หนึ่งในเซ็นเตอร์ดันขึ้นเติมเกมในบางจังหวะ ขณะที่มาร์ติเนซคือคนที่เล่นบอลกับเท้าได้ดี กล้าจ่ายบอลทะลุไลน์ขึ้นหน้า และมีไทม์มิ่งการดันขึ้นร่วมเพรสที่ยอดเยี่ยม
ในบางเกมที่ทีมต้องการความดุดันเพิ่ม หรือเจอคู่แข่งที่เล่นเพรสสูง การส่งมาร์ติเนซลงไปยืนเป็น “ตัวเริ่มเกมจากแนวรับ” สามารถเพิ่มมิติให้กับเกมรุกได้อย่างชัดเจน เมื่อผสมเข้ากับการวิ่งเติมของวิงแบ็กและมิดฟิลด์ที่ถอยลงมารับบอล ทีมจะมีรูปแบบการขึ้นเกมจากด้านหลังที่หลากหลายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ โปรแกรมที่อัดแน่นทั้งลีกและฟุตบอลยุโรป ทำให้การใช้งานผู้เล่นกลุ่มเดิมๆ แบบเต็มนาทีตลอดทั้งฤดูกาลแทบเป็นไปไม่ได้ การที่มีกองหลังระดับทีมชาติอย่างมาร์ติเนซอยู่ในทีม ช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ดมี “ประกันสำรอง” ที่ไว้ใจได้ หากมีใครเจ็บ แบน หรือฟอร์มตก
มุมมองของแฟนบอล และแรงกดดันที่มากกว่าปกติ
สำหรับแฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด ช่วงหลังมักคุ้นเคยกับการเห็นทีมมีปัญหาแนวรับ ทั้งการบาดเจ็บและฟอร์มที่ไม่สม่ำเสมอ ดังนั้นข่าวดีเรื่องการกลับมาของมาร์ติเนซจึงถูกมองเป็นความหวังในการยกระดับความเหนียวแน่นของทีมในทันที
แต่ในขณะเดียวกัน แฟนบางส่วนก็เริ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม — กลุ่มที่เชื่อว่า “มาร์ติเนซต้องได้ตัวจริงคืน” เพราะมองว่าคุณภาพและคาแร็กเตอร์ในสนามเหนือกว่า และอีกกลุ่มที่มองว่า “ชอว์เล่นดีแล้ว ไม่ควรถูกดร็อป” การตัดสินใจของอาโมริมในแต่ละเกมจึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
สำหรับนักเตะอย่างมาร์ติเนซ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแรงกดดันที่มากกว่าปกติ เพราะเขาไม่ได้ต้องพิสูจน์แค่กับโค้ช แต่ยังรวมถึงสายตาแฟนบอลและสื่อที่คอยเปรียบเทียบเขากับชอว์อยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในมุมอาชีพ การมีคู่แข่งในตำแหน่งเดียวกันที่มีคุณภาพสูง เป็นแรงผลักดันชั้นดีสำหรับผู้เล่นทุกคน และถ้ามีใครสักคนจะใช้แรงกดดันเป็นน้ำมันหล่อลื่นชั้นดีในการกลับมาเล่นให้ดีที่สุด คนคนนั้นก็คือ ลิซานโดร มาร์ติเนซ
บทสรุป บทบาทใหม่ที่อาจต่อยอดไปสู่เวอร์ชันที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
บทบาทใหม่ของมาร์ติเนซในทีมแมนฯ ยูไนเต็ดอาจไม่ใช่สิ่งที่ใครคาดคิดมาก่อน จากเดิมที่เป็นเซ็นเตอร์ตัวหลักที่แทบไม่มีใครแตะตำแหน่งได้ กลับต้องถอยมาเป็นตัวโรเตชันและรอโอกาสแทน แต่ในระยะยาว หากเขารับความท้าทายนี้ได้ และใช้มันเป็นเชื้อเพลิงในการยกระดับตัวเอง เขาอาจกลับมาในเวอร์ชันที่แข็งแกร่งทั้งกายและใจมากกว่าเดิม
18 เดือนต่อจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เล่าเรื่องราวสำคัญของเส้นทางมาร์ติเนซกับแมนฯ ยูไนเต็ดอย่างชัดเจน ว่าเขาจะกลับไปยืนเป็นเสาหลักในแนวรับอีกครั้ง หรือจะเริ่มเดินออกจากฉากในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดอย่างช้า ๆ แต่ไม่ว่าจะจบอย่างไร สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ เขายังเป็นนักสู้ที่ไม่มีวันยอมแพ้ง่าย ๆ
ถ้าคุณชอบอ่านเกมลึก ๆ วิเคราะห์แท็คติกและฟอร์มผู้เล่นแบบนี้ โลกของ ยูฟ่าเบท แทงบอล ก็เปิดโอกาสให้คุณสนุกกับฟุตบอลได้มากกว่าการเชียร์เฉย ๆ
